ads by google

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

10 ข่าวเด่น-ดัง วงการการศึกษาไทย 2555

10 ข่าวเด่น-ดัง วงการการศึกษาไทย 2555

ตะลึง!ม.รับน.ศ.ครูปี 55 ทะลุแสน หวั่นตกงานอื้อเหตุบรรจุหลักพัน สารพัด"โพล"ชี้การศึกษาไทยร่วง

คลิก+++++

ตะลึง!ม.รับน.ศ.ครูปี 55 ทะลุแสน หวั่นตกงานอื้อเหตุบรรจุหลักพัน สารพัด"โพล"ชี้การศึกษาไทยร่วง

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คำคมภาษาอังกฤษ

Never fear shadow.
They simply mean
there’s a light shining
some where near by.
อย่ากลัวเงา เพราะเงา
หมายความว่ามีแสงสว่าง
ส่องอยู่ใกล้ ๆ สักแห่ง



------ 

It takes two flints to make a fire.
- – Louisa May Alcott – -
ต้องใช้หินถึง2ก้อนถึงจะเกิดไฟได้ 

------ 

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Sufficiency Economy เศรษฐกิจพอเพียง


1 หลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฎิบัติตนของประชาชนตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน และระดับประเทศ

2 หลัก เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดของในหลวง

3 เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง การดำเนินเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลาง ความไม่ประมาท โดยคำนึงถึงความพอประมาณ โดย คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันในตัว มีความรอบรู้ รอบคอบ และมีคุณธรรม

4 เศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วยคุณลักษณะที่สำคัญ 3 ประการ
1). ความพอประมาณ =ไม่น้อย ไม่มาก โดยไมเบียดเบียนผู้อื่น
2). ความมีเหตุผล = การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียง และต้องคำนึงถึง เหตุ ปัจจัย ผล ที่คาดว่าจะเกิดจากกการกระทำอย่าง รอบคอบ
3). การมีภูมิค้มกันที่ดีในตัว = การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยงแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงสถานการณืที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

5 เศรษฐกิจพอเพียง แบ่งออกได้ 3 ลักษณะ
1). เศรษฐกิจพอเพียงระดับบุคคลหรือครอบครัว = การดำเนินชีวิตยึดทางสายกลาง ตั้งอยู่บนพื้นฐานการรู้จักตนเอง พึ่งตนเอง
ไม่เบียดเบียนผู้อื่น อยู่ได้ทุกสถานการณ์
2). เศรษฐกิจพอเพียงระดับชุมชน = ชุมชนดำรงชีวิตด้วยการช่วยเหลือ แบ่งปันเป็นพื้นฐานให้เกิดการรวมกลุ่มในชุมชน เชื่อมโยงเป็น
เครือข่ายระหว่างกัน นำไปสู่ความสมดุลย์ ชุมชนที่มีความเข้มแข็ง
3). เศรษฐกิจพอเพียงระดับประเทศ= การรวมกลุ่มของชุมชนหลายๆ ชุมชนมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกันพัฒนาเกิดเป็นสังคมแห่งความพอ
เพียงเป็นพื้นฐานของการพัฒนาประเทศให้เกิดความเจริญก้าวหน้าอย่างสมดุล

6 เศรษฐกิจพอเพียง มีหลักการที่สำคัญ 3 ประการ
1). หลักตนเป็นที่พึ่งตน
2). หลักการรวมกลุ่มของชุมชน
3). หลักความสามัคคี ความเอื้อเฟื้อ ความเอื้ออาทร

7 แนวคิดของหลักเศรษฐกิจพอเพียง = การพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและไม่ประมาท โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผลและการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้ตัวเอง

8 แนวคิดระบบเศรษฐกิจพอเพียงตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักทฤษฎีใหม่ 3 ขั้นตอน
ขั้นที่1 ความพอเพียงเลี้ยงตัวเอง
ขั้นที่2 การรวมพลังเป็นกลุ่มการผลิต
ขั้นที่3 การสร้างเครือข่ายกลุ่มอาชีพ

9 เศรษฐกิจพอเพียงสอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนและมุ่งสร้างสมดุลย์ใน 3 ด้าน
1). เศรษฐกิจ
2). สังคม
3). สิ่งแวดล้อม

10 ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงให้ความสำคัญกับ=ตัวคนมากที่สุด

11 การพึ่งตนเองตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงด้านเศรษฐกิจ = การพัฒนาต้องปรับทิศทางใหม่โดยจะต้องมุ่งการเพิ่มรายด้และรายจ่าย
โดยยึดหลัก พออยู่ พอกิน พอใช้

12 ระบบเศรษฐกิจพอเพียงยึดหลักการ= ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ขอบคุณข้อมูลจากคุณ birdy www.thailocalmeet.com

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

10 เคล็ดลับหน้าใส อย่างฉับไว



10 เคล็ดลับหน้าใสส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่างๆ ทั้งบำรุงผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าขาวขึ้น กระชับริ้วรอย มักจะทำมาจากวัสดุที่ได้จากธรรมชาติที่คุณๆ รับประทานและเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ….. แล้วทำไมเราไม่นำวัตถุดิบเหล่านั้นมาใช้โดยตรงด้วยตัวคุณเอง เพื่อให้ได้รับสุขภาพผิวที่คุณต้องการ วันนี้ H2YouSHOP มี 10 เคล็ด (ไม่) ลับหน้าใส ด้วยตัวคุณเองมาฝากจากธรรมชาติกัน




1. นำผ้าไปแช่ในน้ำอุ่น นำมาโปะไว้ที่หน้าเพื่อเปิดรูขุมขนของเรา จากนั้นใช้น้ำผึ้งทาลงบนใบหน้าทิ้งไว้ 15-30 นาที แล้วล้างด้วยน้ำอุ่น และนำผ้าที่แช่ด้วยน้ำเย็นมาเช็ดทำความสะอาด

2. ใช้ไข่แดงดิบทาลงบนใบหน้าและลำคอทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

3. ใช้ไข่ขาวมาพอกหน้า รอจนไข่ข้าวแห้งจนมีสีขาว คุณจะรู้สึกอุ่นๆ บนผิวหน้า

4. วิธีที่ง่ายๆ อีกวิธีคือใช้ผลองุ่นเพียงครึ่งลูก ถูลงบนใบหน้าจนน้ำจากองุ่นซึมเข้าผิวหน้า แล้วค่อยล้างด้วยน้ำสะอาด

5. นำกล้วยสุกมาบดจนละเอียดแล้วนำไปพอกใบหน้าของคุณ ทิ้งไว้ 15-30 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

6. โยเกิร์ตที่เราคุ้นเคยที่สามารถฟื้นฟูความชุ่มชื้นของผิวหน้าได้ดี นำมาพอกหน้าใช้เวลา 15-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

7. ถ้าหากริมฝีปากของคุณแห้งและแตกใช้คุณใช้น้ำมันมะกอกทางที่ริมฝีปากของคุณให้ชุ่มชื้นก่อนนอน

8. นำอะโวคาโดบดให้ละเอียดและนำไปพอกหน้า ใช้เวลา 10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด อโวคาโดเป็นผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพและยังช่วยฟื้นฟูผิวของเราได้อย่างดี

9. เตรียมนมสดหรือนมจืด ใส่ในแก้วเล็กๆ นำคอตตอนบัดจุ่มนมจืดในชุ่ม เช็ดให้ทั่วไปหน้าจนกว่าคุณจะรู้สึกว่าผิวหน้ากระชับ แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น คุณจะรู้สึกว่าผิวหน้าของคุณนุ่มขึ้น

10. ใช้ Baking Soda ในการช่วยผลัดผิวที่ตายแล้วบนใบหน้าของคุณได้นะคะ

เตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต




ก่อนที่จะไปบริจาคโลหิตที่สภากาชาดไทย เราควรจะต้องทราบก่อนว่า จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ขั้นตอนและวิธีปฎิบัติขณะบริจาคโลหิตต้องทำอย่างไร 



  คุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต
  
1. มีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป
  2. อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 60 ปีบริบูรณ์ ( ถ้าเป็นผู้บริจาคครั้งแรกต้องอายุไม่เกิน 55 ปี)
  3. มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ระหว่างไม่สบายหรือรับประทานยาใดๆ
  4. ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือติดยาเสพติด
  5. สตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์หรือ ให้นมบุตร และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา
 
  การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต
  
- นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อเนื่อง ในเวลาปกติคืนก่อนวันบริจาค
  - รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กเพิ่ม
  - รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากจะทำให้สีของพลาสมาผิดปกติเป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้ได้
  - ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะภายหลังบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
  - งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาค
  - งดสูบบุหรี่ ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี
 
  ขณะบริจาคโลหิต
  
- สวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับเกินไป สามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว
  - เลือกแขนข้างที่เส้นโลหิตดำใหญ่ชัดเจน ที่สามารถให้โลหิตไหลลงถุงได้ดี ผิวหนังบริเวณที่จะให้เจาะ ไม่มีผื่นคัน หรือรอยเขียวช้ำ ถ้าแพ้ยาทาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า
  - ทำตัวตามสบาย อย่ากลัว หรือวิตกกังวล
  - ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมขณะบริจาคโลหิต
  - ขณะบริจาคควรบีบลูกยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้โลหิตไหลได้สะดวก หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น วิงเวียน มีอาการคล้ายจะเป็นลม อาการชา อาการเจ็บที่ผิดปกติ ต้องรีบแจ้งให้พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นทราบทันที
  - หลังบริจาคโลหิตเสร็จเรียบร้อย ห้ามลุกทันที ให้นอนพักสักครู่จนกระทั่งรู้สึกสบายดี จึงลุกไปดื่มน้ำ และรับประทานอาหารว่างที่จัดไว้รับรอง
 
  หลังบริจาคโลหิต
  
- ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เป็นเวลา 1-2 วัน
  - หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า หรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากๆ งดใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ รวมถึงการหิ้วของหนักๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังการบริจาคโลหิต
  - ถ้ามีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ให้รีบนั่งก้มศีรษะต่ำระหว่างเข่า หรือนอนราบยกเท้าสูงจนกระทั่งมีอาการปกติจึงลุกขึ้น และเดินทางกลับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการล้ม
  - ถ้ามีโลหิตซึมออกมาจากรอยผ้าปิดแผล อย่าตกใจ ให้ใช้นิ้วมืออีกด้านหนึ่งกดลงบนผ้าก๊อส กดให้แน่นและยกแขนสูงไว้ประมาณ 3-5 นาที หากยังไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่บริจาคโลหิตเพื่อพบแพทย์หรือพยาบาล
  - ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานปีนป่ายที่สูง หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ควรหยุดพัก 1 วัน
  - รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละอย่างน้อย 1 เม็ด จนหมด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก
 
  ขั้นตอนบริจาคโลหิต
  ขั้นตอนที่ 1 กรอกแบบฟอร์มผู้บริจาคโลหิต
  *ควรให้ข้อมูลตรงตามความเป็นจริงของผู้บริจาค จะทำให้ได้โลหิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อตัวผู้บริจาคเอง และตัวผู้ป่วย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการรับบริจาคโลหิต
 
  ขั้นตอนที่ 2 ตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต และความเข้มโลหิต
  *บุคลากรทางการแพทย์ จะสอบถามประวัติผู้บริจาคเพิ่มเติม เพื่อวินิจฉัยเบื้องต้นว่าท่าน มีสุขภาพพร้อมที่จะบริจาคโลหิตหรือไม่ โปรดอย่าปิดบังข้อมูลเรื่องสุขภาพ หรือเขินอายที่ จะตอบคำถาม
 
  ขั้นตอนที่ 3 ลงทะเบียนรับหมายเลขถุงบรรจุโลหิต ที่เคาน์เตอร์ทะเบียน
 
  ขั้นตอนที่ 4 บริจาคโลหิต
 
  ขั้นตอนที่ 5 พักรับประทานอาหารว่าง/เครื่องดื่ม
  *หลังบริจาคโลหิตจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มที่เจ้าหน้าที่จัดไว้บริการให้ และนั่งพักสักระยะหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพน้ำในร่างกาย เมื่อปกติดีแล้วจึงเดินทางกลับ
 
  ที่มา...สภากาชาดไทย