ads by google

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

20 คำคมสำหรับการเริ่มต้นเดินตามฝัน



          คนทุกคนล้วนมีความ ฝันเป็นของตัวเองทั้งนั้น แต่ไม่ว่าจะฝันถึงอะไรก็ตาม ความฝันที่มีอยู่ก็คงจะสูญเปล่าถ้าหากเราปล่อยให้ความฝันเป็นความฝันอยู่ อย่างนั้น ไม่เริ่มต้นลงมือทำให้มันเป็นความจริงเสียที วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอรวบรวมคำคมข้อคิดเกี่ยวกับการเริ่มต้นใหม่ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลาย ๆ คนที่ไม่กล้าจะเริ่มต้นทำตามฝัน ได้ฉุกคิดไปพร้อม ๆ กันค่ะ


"You will never win if you never begin." - Helen Rowland
คุณไม่มีทางสำเร็จได้ ถ้าคุณไม่เริ่มต้น




"Almost everything comes from nothing." - Henry F. Amiel
เกือบทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ล้วนมาจากความไม่มีเหมือนกันทั้งนั้น




"The way to get started is to quit talking and begin doing." - Walt Disney
หนทางสู่การเริ่มต้น คือ การหยุดพูด และเริ่มลงมือทำ




"In every phenomenon the beginning remains always
the most notable moment."
 - Carlyle, Thomas
ในทุกปรากฎการณ์ จุดเริ่มต้นมักจะเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดเสมอ




"What is not started today is never
finished tomorrow."
 - Johann Wolfgang von Goethe
สิ่งที่ไม่ได้เริ่มต้นในวันนี้ ก็จะไม่มีทางสำเร็จในวันพรุ่งนี้เช่นกัน




"The indispensable first step to getting the things
you want out of life is this: Decide what you want."
 - Ben Stein
ก้าวแรกที่สำคัญในการได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการในชีวิตก็คือ ถามตัวเองก่อนว่าคุณต้องการอะไร




"Start by doing what’s necessary; then do what’s possible;
and suddenly you are doing the impossible."
 - Saint Francis of Assisi
จงเริ่มต้นด้วยการทำสิ่งที่จำเป็นก่อน จากนั้นจึงทำสิ่งที่เป็นไปได้
และสุดท้าย คุณก็จะทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้





"Start wherever you are and start small." - Rita Baily
จงเริ่มต้นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน และจงเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ




"Failure is the opportunity to begin again more intelligently." - Henry Ford
ความล้มเหลวเป็นโอกาสที่จะเริ่มต้นอีกครั้ง แต่เป็นการเริ่มต้นอย่างฉลาดกว่าเดิม



"Life's hard. It's even harder when you're stupid." - John Wayne
ชีวิตเป็นเรื่องยาก แต่มันจะยิ่งยากขึ้นไปอีกถ้าคุณงี่เง่า




"Do not wait until the conditions are perfect to begin.
Beginning makes the conditions perfect." 
- Alan Cohen
อย่ารอจนกว่าปัจจัยต่าง ๆ จะพร้อมสำหรับการเริ่มต้น
เพราะการเริ่มต้นต่างหากที่จะทำให้ปัจจัยทุกอย่างพร้อมเอง





"The secret to living the life of your dreams is to start living the life
of your dreams today, in every little way you possibly can."
 - Mike Dooley
เคล็ดลับของการใช้ชีวิตตามความฝันก็คือ
การเริ่มต้นใช้ชีวิตกับความฝันที่มีในวันนี้ ทำสิ่งเล็ก ๆ ที่คุณสามารถทำได้





"Life is not a dress rehearsal. Stop practicing
what you’re going to do and just go do it. "
 - Marilyn Grey
ชีวิตไม่ใช่การลองเสื้อ หยุดฝึกซ้อมสิ่งที่กำลังจะทำ แล้วลงมือทำมันจริง ๆ เสียเถอะ




"Nobody can go back and start a new beginning,
but anyone can start today and make a new ending."
 - Maria Robinson
ไม่มีใครเดินกลับหลังและเริ่มต้นใหม่ได้
แต่ทุกคนสามารถเริ่มต้นทุกวัน และกำหนดจุดสิ้นสุดจุดใหม่ได้





"Nothing is predestined. The obstacles of your past can become
the gateways that lead to new beginnings."
 - Ralph Blum
ไม่มีอะไรกำหนดได้ล่วงหน้า อุปสรรคในอดีตของคุณอาจกลายเป็นหนทางที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่




"Don’t wait for something big to occur. Start where you are,
with what you have, and that will always lead you
into something greater."
 - Mary Manin Morrissey
อย่ารอให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น เริ่มต้นจากที่ที่คุณอยู่
กับสิ่งที่คุณมี แล้วมันจะนำไปสู่บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เอง





"The secret to a rich life is to have more
beginnings than endings." 
- Dave Weinbaum
เคล็ดลับสู่ชีวิตที่ร่ำรวย คือ การใช้ชีวิตให้มีจุดเริ่มต้นมากกว่าจุดจบ




"Life isn’t about finding yourself.
Life is about creating yourself." 
- George Bernard Shaw
ชีวิตไม่ใช่การค้นหาตัวเอง แต่มันคือการสร้างตัวของตัวเองขึ้นมาต่างหาก




"The beginning of knowledge is the discovery of
something we do not understand." 
- Frank Herbert
จุดเริ่มต้นของความรู้ คือการค้นพบบางสิ่งที่เราไม่เข้าใจ




"Don't let your past decide your future." - Frederick R. Bliss
อย่าปล่อยให้อดีตมาตัดสินอนาคต


          เป็นยังไงบ้างคะ มีประโยคไหนที่โดนใจอย่างจังกันบ้างหรือเปล่า กระปุกดอทคอมเชื่อว่า ประโยคเหล่านี้คงจะทำให้คนที่กำลังท้อแท้ และคนที่กังวลที่จะเริ่มต้น ได้มีแรงฮึดในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างเข้มแข็งเลยทีเดียวล่ะ

สัจจะธรรม

 หนังสือ time magazine บอกว่า ที่อเมริกา มีงานวิจัยพบว่าคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก คือพระในพุทธศาสนา โดย ทดสอบด้วยการ สแกนสมองพระที่ทำสมาธิและได้ผลลัพธ์ออกมาว่าเป็นจริง  



หลักความเชื่อของศาสนาพุทธ คือ เหตุที่ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คืออยู่กับปัจจุบัน ขณะปล่อยวางได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ควบคุมความอยาก ที่ไม่มีสิ้นสุด 
 
ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ทะเลาะ และใช้หลักเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ให้อภัยตัวเองและผู้อื่น มีจิตใจเมตตา กรุณา และเสียสละเพื่อผู้อื่น 
 
อริยะสัจ 4 สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและบอกไว้ด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แท้จริงแล้วก็คือทางเดินไปหาคำว่า "ความ สุขเพราะ ถ้าเมื่อไรเรา กำจัด "ความ ทุกข์ได้ แล้วความสุขก็จะเกิดขึ้น 
 
อุปสรรค ของความสุขก็ คือแรงปรารถนา และ ตัณหา คนเราจะมีความสุขไม่ขึ้นอยู่กับว่า"มี เท่าไร
แต่ ขึ้นอยู่ที่ว่า เรา "พอ เมื่อไรความ สุขไม่ได้ขึ้น กับจำนวนสิ่ง ของที่เรามี หรือเราได้... 
 
ดังนั้นวิธีจะมี ความสุขอันดับ แรกต้อง "หยุด ให้เป็น และ พอใจให้ได้ถ้า เราไม่หยุดความอยากของเราแล้วละก็ 
เรา ก็จะต้องวิ่ง ไล่ตามหลายสิ่ง ที่เรา "อยาก ได้แล้ว นั่นมันเหนื่อย และความทุกข์ ก็จะตามมา... 
 
ข้อ ต่อมาที่ทำให้ เราเป็นสุขคือ การมองทุกอย่าง ในแง่บวก ชีวิตแต่ละวัน แน่นอนเราต้อง เจอทั้งเรื่องดีและไม่ดี ถ้าเราอยากจะมีความสุข เราต้องเริ่มด้วยการมองแต่สิ่งดีๆ มองให้เป็นบวก เพื่อใจเราจะได้ เป็นบวก คิดถึงสิ่งที่เราทำสำเร็จแล้วในวันนี้ สิ่งดีๆที่เราได้ทำ 
 
ข้อ ต่อมาคือการให้ หมายรวมถึงการให้ในรูปแบบ สิ่งของหรือ เงิน เรียกว่าบริจาค และการให้ความเมตตากรุณาต่อกัน 
ให้ อภัยทั้งตัวเองและคนอื่น  สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัย ทำให้เรามีความ สุข.... 
 
การ ปล่อยวางให้ได้ ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าเรื่องจะ ร้ายแรงและ เศร้าโศกเพียงใด จำไว้ว่ามันจะโดนเวลาพัดพามันไปจากเรา ไม่ช้าก็ เร็ว เราจะผ่านพ้นไปได้....และยอมรับในความเป็นจริงของชีวิต 
ไม่ว่าจะเป็น เรื่องที้เราไม่ชอบเพียงใด ไม่ว่าผิดหวัง สูญเสีย เจ็บป่วย ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา 
ทุกคนต้องได้ผ่านบททดสอบนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร... 
 
+  
ทำตนเองให้สดใส ด้วยการยิ้มให้ตนเอง ทำคนอื่นให้สดใสได้ ด้วยการยิ้มให้เขา การยิ้มไม่ต้องลงทุนอะไรเลย 
แต่สร้างความสดใสได้มาก ทำให้เราเป็นสุขอยู่เสมอ เพราะความสุขมันอยู่ใกล้แค่นี้เอง แค่ที่ใจข องเรานี่เอง
  
ยิ้มแย้มอย่างแจ่มใส เห็นใครทักก่อน 
นี่คือ.. วิธีแสดงเสน่ห์แบบง่ายๆ แต่ให้ผลมาก 
  
การให้อภัยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่การแก้แค้นลงทุนมาก 
  
เขาด่าว่าเราไม่ถึงนาที เขาอาจลืมไปแล้วด้วย แต่เรายังจดจำ ยังเจ็บใจอยู่... นี่เราฉลาดหรือโง่กันแน่ 
  
บ่นแล้วหมดปัญหาก็น่าบ่น บ่นแล้วมีปัญหา ไม่รู้จะบ่นหาอะไร 
 
เรายังเคยเข้าใจผิดผู้อื่น ถ้าคนอื่นเข้าใจเราผิดบ้าง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร ทำไมต้องเศร้าหมอง 
ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอย่างที่ใครเข้าใจ 
  
อย่าโกรธฟุ่มเฟือย อย่าโกรธ จุก จิก อย่าโกรธไม่เป็นเวลา อย่าโกรธมาก จะเสียสุขภาพกาย และสุขภาพจิต 
  
แม้จะฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธไม่ได้ แต่ฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธบ่อยได้ ฝึกให้เป็นผู้รู้จักให้อภัยได้ 
  
การนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องของเขา การให้อภัยเป็นเรื่องของเรา 
  
การชอบพูดถึงความดีของเขา คือความดีของเรา การชอบพูดถึงความไม่ดีของเขา คือความไม่ดีของเรา 
 
 
โทษคนอื่นแก้ไขอะไรไม่ได้ โทษตนเองแก้ไขได้ 
  
แก้ตัวไม่ได้ช่วยอะไร แต่แก้ไขช่วยให้ดีขึ้น 
  
การนอนหลับเป็นการพักกาย การทำสมาธิเป็นการพักใจ คนส่วนใหญ่พักแต่กาย ไม่ค่อยพักใจ 
  
รู้จักทำใจให้รักผู้บังคับบัญชา รู้จักทำใจให้รักลูกน้อง รู้จักทำใจให้รักเพื่อนร่วมงาน 
สวรรค์ก็อยู่ที่ทำงาน 
เกลียดผู้บังคับบัญชา เกลียดลูกน้อง เกลียดผู้ร่วมงาน นรก ก็อยู่ที่ทำงาน 
การที่เรายังต้องแสวงหาความสุข  แสดงว่าเรายังขาดความสุข 
แต่ถ้าเรารู้จักทำใจให้เป็นสุขได้เอง ก็ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาที่ไหน 
  
อ่อนน้อม อ่อนโยน  อ่อนหวาน นั้นดี.... อ่อนข้อให้เขาบ้างก็ยังดี แต่...อ่อนแอนั้น ไม่ดี 
ในการคบคน ศิลปะใดๆ ก็สู้ความจริงใจไม่ได้ 
จงประหยัด คำติ แต่อย่าตระหนี่ คำชม 
 
อภัยให้แก่กันในวันนี้ ดีกว่าอโหสิให้กันตอนตาย 
ถ้าคิดทำความดี ให้ทำได้ทันที 
ถ้าคิดทำความชั่ว ให้เลิกคิดทันที 
ถ้าเลิกคิดไม่ได้ ก็อย่าทำวันนี้ 
ให้ลัดวันไปเรื่อยๆ 
  
ถึงจะรู้ร้อยเรื่องพันเรื่อง ก็ไม่สู้รู้เรื่องดับทุกข์ 
โลกสว่างด้วยแสงไฟ ใจสว่างด้วยแสงธรรม 
แสงธรรมส่องใจ แสงไฟส่องทาง 
  
ผู้สนใจธรรม สู้ผู้รู้ธรรมไม่ได้ 
ผู้รู้ธรรม สู้ผู้ปฎิบัติธรรมไม่ได้ 
ผู้ปฎิบัติธรรม สู้ผู้ที่เข้าถึงธรรมไมได้ 
  
มีทรัพย์มาก ย่อมมีความสะดวกมาก 
มีธรรมะมาก ย่อมมีความสุขมาก 
  
เมื่อก่อนยังไม่มีเรา 
เราเพิ่งมีมาเมื่อไม่นานมานี้เอง 
และอีกไม่นานก็จะไม่มีเราอีก 
จึงควรรีบทำดี ในขณะที่ยังมี...เรา

“ 
ขอขอบคุณ ผู้ที่ได้จัดทำบทความนี้  จึงขอ ส่งต่อ ให้เพื่อนๆๆ เพื่อให้มีสติมากขึ้น และพร้อมที่จะสู้ต่อไป    

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความเป็นมาพร้อมกับพัฒนาการของแอร์บ้าน


ความเป็นมาพร้อมกับพัฒนาการของแอร์บ้าน
1.         การค้นเจอวัฎจักรการทำความเย็นและพัฒนาการของแอร์ การค้นเจอวัฏจักรการทำความเย็น และความก้าวหน้าของแอร์ได้เป็นหนทางไปสู่การใช้ประโยชน์ของแอร์รายละเอียดย่อ ๆ ของเครื่องมืออัดสารทำความเย็นมีอยู่โดยกลยุทธ์ใหญ่ ๆ แล้ว เครื่องอัดสารทำความเย็นปฏิบัติภารกิจอัดพร้อมด้วยทำให้ไอสารทำความเย็นเป็นของเหลว สารทำความเย็นเหลวครั้นเมื่อโดนฉีดพ่นเข้าไปภายในที่ที่มีความดันลดลงก็ระเหยไปเป็นไอทำให้อุณหภูมิเบาบางลง ในยุคแรก ๆ แอโมเนียหมายถึงสารทำความเย็นที่นิยมใช้กันแพร่ขยายที่มาก แต่สมัยนี้ได้เป็นสารทำความเย็นที่นิยมใช้กันมากมายที่สุดแทน
ในปี คริสต์ศักราช 1822 คากนาร์ด เดอ ลา ทัวร์ (Cagniard de la Tour) ประเทศฝรั่งเศส ได้กระทำการทดสอบเกี่ยวกับแกสอีเธอร์ สิ่งที่ถือได้ว่าเป็นเครื่องปรับอากาศเครื่องแต่แรกคือประดิษฐกรรมที่ โจเซฟ แมคครีตี (Josept Mc Creaty) ในสหรัฐอเมริกาได้จัดทำขึ้นและได้จดบัญชีรายชื่อลิขสิทธิ์ไว้ในปี คริสต์ศักราช 1897 ระเบียบของเขาเรียกว่า “เครื่องล้างอากาศ” (ระบบการทำความเย็นโดยการฉีดพ่นน้ำดิบให้เป็นฝุ่นละอองเข้าในอากาศ) ด้าน ดร. วิลลิส ฮาวิแลนด์ คาร์เรียร์ (Dr. Willis Haviland Carrier) ในสหรัฐฯนั้นเป็นบุคคลเริ่มแรกที่เชี่ยวชาญกำกับอุณหภูมิพร้อมด้วยความชุ่มชื้นของภูมิอากาศโดยที่เขาบรรลุผลในการปรับอากาศในโรงพิมพ์ด้วยระบบเครื่องมือล้างอากาศที่ทำให้ภูมิอากาศเย็นลงกับอิ่มตัวที่จุดน้ำค้าง เมื่อปี คริสต์ศักราช 1906 และในปี คริสต์ศักราช 1911 คาร์เรียร์ก็ได้นำเสนอตัวบทเธอร์โมไดมามิคส์ของเขาแก่สหภาพวิศวกรเครื่องกลอเมริกัน
ในช่วงเริ่มแรก แอร์ได้ถูกนำพาไปใช้ในวงงานอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก จนตอนหลังสงครามโลกครั้งแรกแล้วจึงได้มีการก้าวหน้าระบบแอร์เพื่อความเป็นสุขของมนุษย์
2.         คำจำกัดความของเครื่องปรับอากาศ
ดังได้เสนอแล้ว เครื่องปรับอากาศคือการกระทำต่อภูมิอากาศเพื่อที่จะบังคับการให้ทั้งอุณหภูมิและความชื้นของลมฟ้าอากาศได้เป็นไปตามความอยากได้ของที่นั้น ๆ และพร้อม ๆ กันไปก็จะต้องควบคุมความบริสุทธิ์และการเคลื่อนไหวของอากาศด้วย ในบางชาติถึงกับมีข้อบังคับหมายไว้ค่าอุณหภูมิ ความชุ่มชื้น ความบริสุทธิ์ และการไหวติงของอากาศเนื่องด้วยงานแต่ละหมู่ไว้ด้วย เช่น เครื่องปรับอากาศข้างในสำนักงาน ด้านในหอประชุม ฯลฯ
โดยปกติแล้ว แอร์อาจแยกออกได้เป็น 2 อย่าง
1)         แอร์บ้านเพื่อความสะดวก เป็นแอร์ที่มุ่งส่งเสริมสุขภาพ ความสบาย และความสามารถในการปฏิบัติการของผู้คนที่อยู่หรือทำงานอยู่ในที่นั้น เช่น การปรับอากาศภายในที่อาศัย ออฟฟิศ โรงหนัง โรงหมอ เป็นต้น
2)         การปรับอากาศเพื่อการอุตสาหกรรม เป็นเครื่องปรับอากาศเพื่อจำกัดภาวะบรรยากาศในวิธีการผลิต ในการทำการค้นคว้าวิจัย และการรักษาผลิตผลต่าง ๆ ตัวอย่าง เหมือนกับ การปรับอากาศในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์

จุดประสงค์ในการคำนวณภาระความร้อนข้างในห้องแอร์


จุดประสงค์ในการคำนวณภาระความร้อนข้างในห้องแอร์
การคำนวณสภาวะความร้อนจำเป็นปฏิบัติโดยวิศวกรออกแบบแอร์คอนดิชันที่รับผิดชอบเองเพราะเขาเป็นคนเดียวแค่นั้นที่จะสามารถแลเห็นล่วงหน้าในการคำนวณจำเป็นจะต้องเผื่อสำหรับสวัสดิภาพของแอร์บ้านเท่าใด
ขั้นตอนคำนวณภาวะความร้อนอาจแยกออกได้ตามเป้าประสงค์ 2 แบบ
1.         การคำนวณสถานะความร้อนสูงสุด
2.         การคำนวณสภาพความร้อนเทอม
เพื่อให้ทราบรายการจ่ายในการใช้งานตอนระยะสั้นหรือว่าระยะยาวคุณค่าที่เด่นของเครื่องมือการคำนวณนี้จำเป็นต้องใช้งานComputer
ฉะนั้นในข้อเขียนนี้จะอ้างอิงถึงแต่การคำนวณสภาพความร้อนสูง ในกรณีการคำนวณภาวการณ์ความร้อนสูงสุดให้สมมุติสถานการณ์ที่ไม่ต้องการที่สุด ได้บังเกิดวันแล้ววันเล่า  ความร้อนที่เจ้าไปในห้องแอร์คอนดิชัน เรียกกันว่า ความร้อนเพิ่มเติม
การคำนวณภาวการณ์ความร้อนเกือบสิ้นเชิงเป็นความร้อนเพิ่ม แต่ในบางครั้งสภาพความร้อนที่ใช้จงมีการแก้ไขค่าความร้อนเพิ่ม อาทิเช่น
1.         การแผ่รังสี ดวงตะวันทะลุหน้าต่างเข้ามาที่ห้องทำให้พื้นพร้อมทั้งอุปกรณ์อื่นๆร้อนขึ้นแล้วโอน ความร้อนให้กับสภาพอากาศชั้นในห้อง นั่นหมายถึง ความร้อนเพิ่มจากการแผ่รังสีดวงอาทิตย์มีช่วงที่ช้าก่อนที่จะมาเป็นสถานการณ์ความร้อน ส่งผลลัพธ์เป็นเหตุให้สภาพความร้อนเบื่องต้น จางไปกว่าค่าที่ประมาณการณ์ไว้ก่อน
2.         การคำนวณเพิ่มเกณฑ์เป็นการคำนวณประเมินค่าอุณภูมิด้านในห้องคงที่ที่สถานการณ์อุณภูมิและความชื่นที่จริงเป็นเวลา 24 ชั่วโมง แต่จริงๆแล้ว ความร้อนจะถูกเก็บไวในพื้นและวัสดุอื่นๆในระหว่างวันหยุดครั้นแอร์ไม่ทำงาน ดังนั้นความร้อนดังจึงควรนำไปประสมเข้ากับค่าการคำนวณความร้อนเพิ่มเกณฑ์ด้วย
การคำนวณ 1 พร้อมกับ 2 เรียกว่า  “การคำนวณสภาวะความร้อนสะสม” (Storage heat load calculation)

ข้อควรปฎิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงจุดด่างดำ


การป้องกันนั้นง่ายกว่าการรักษา แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะสามารถหลีกเลี่ยงสิวหรือการอักเสบอื่นๆ ที่อาจนำไปสู่การเกิดจุดด่างดำได้ ฉะนั้น นี่จึงเป็นข้อแนะนำที่ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
-อย่าแกะอย่าเกา พยายามหลีกเลี่ยงการคุ้ยแคะแกะเกาสิว หรือตุ่มคันจากแมลงกัดต่อย เพราะนั่นอาจก่อให้เกิดปัญหาที่ใหญ่ขึ้นได้
-ปกป้องผิว โดยใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF15 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน และควรทำซ้ำในระหว่างวัน เพื่อป้องกันจุดด่างดำหรือรอยแผลเป็นในอนาคต
-อย่าขัดผิวแรงๆ การใช้สครับขัดผิวแรงๆ หรือใช้แบบที่มีเม็ดขัดแบบหยาบหรือคมเกินไป อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนหรือบาดแผลรอบๆ หัวสิว จนอาจทำให้การอักเสบลุกลามบานปลายได้

กินยา(หน้าใสไร้) สิวเสี่ยงโรคกระเพาะ


หนุ่มสาวสมัยนี้ เพียงแค่มีตุ่มเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าก็ร้อนใจแล้ว ถ้าร้ายถึงขั้นเป็นสิวเม็ดเป้ง หรือสิวอุดตัน สิวอักเสบบนใบหน้าแล้วล่ะก็ เรียกได้ว่า แทบไม่อยากเอาหน้าออกไปพบผู้คน ดังนั้นมีหนทางวิธีไหนที่จะจำกัดส่วนเกินบนใบหน้างามๆ ได้ ต้องเร่งรีบ "การกินยารักษาสิว" จึงกลายมาเป็นอีกทางเลือกเร่งด่วน แต่หารู้ไม่ว่า การกินยารักษาสิวแม้จะช่วยให้กลับมาหน้าใสไร้เม็ดสิว แต่ยังส่งผลกระทบให้เกิดภาวะโรคภัยต่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน
หากใครที่เคยรับประทานยารักษาสิว ลองย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่คุณหมอความงามทั้งหลายจ่ายยาดูสิว่า นอกจากบอกเวลารับประทาน ได้บอกชื่อยา สรรพคุณของยา และผลข้างเคียงของยาหรือไม่ หากคำตอบคือ "ไม่" คุณจำเป็นต้องมีความรู้ไว้ป้องกันตัวเองและไว้เพื่อสอบถามกับคุณหมอเมื่อยามจ่ายยาในครั้งหน้า
"นายแพทย์จีรวัส ศิลาสุวรรณ" อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลพญาไท 2 กล่าวว่า ยารักษาสิว มี 3 กลุ่มใหญ่ คือ ยาฆ่าเชื้อ (Antibiotic drog ) ยาลดการอักเสบ(Non-Steroidal Anti-inflammatory Drugs or steroid) และ ยาลดไขมันบนใบหน้า ( ยาในกลุ่ม Isotretinoin ,Roaccutane, Acnotin) ซึ่งยาแต่ละกลุ่มก็มีส่งผลเสียต่อร่างกายแตกต่างกันไป


กลุ่มยาฆ่าเชื้อ และ ยาลดการอักเสบ เสี่ยงให้เกิดโรคกระเพาะ กระเพาะทะลุ กรดไหลย้อน และถ้ามีอาการ กลืนเจ็บ กลืนลำบาก ซึ่งเป็นผลหลังจากการรับประทานยา อาจเกิดจาก ยาติดค้างในหลอดอาหาร เป็นผลมาจาก การดื่มน้ำน้อยเกินไป ควรจะดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว และหลังจากรับประทานยาไม่ควรนอนทันที ควรทิ้งช่วงประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้ ซึ่งพบว่าผู้ป่วยที่รับประทานยากลุ่มนี้เป็นโรคกระเพาะอักเสบเพิ่มมาก
สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะควรรับประทานยาหลังอาหารทันที และควรรับประทานยาลดกรดควบคู่ไปด้วย เพื่อป้องกันกระเพาะทะลุหรือโรคกระเพาะกำเริบ ซึ่งหากไปพบแพทย์ช้าก็อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
นอกจากยากลุ่มนี้จะส่งผลร้ายให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหารแล้ว ผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นไวรัสตับอักเสบบี หรือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ ยานี้จะไปกระตุ้นให้โรคกำเริบ นับเป็นภัยเงียบ คนทั่วไปไม่ได้ระวัง การรับประทานยารักษาสิวจะทำให้เกิดภาวะภาวะแทรกซ้อนได้บ่อย
กลุ่มยาลดไขมันบนใบหน้า ผลที่เห็นชัดเจนและพบบ่อยก็คือ คนที่รับประทานยาจะมีอาการปากแห้ง ถึงขั้นริมฝีปากแตกมีเลือดออก และห้ามคนท้องรับประทานยานี้โดยเด็ดขาด เพราะเสี่ยงให้เด็กที่เกิดมาพิการ สำหรับคนปกติระหว่างที่รับประทานยาจำพวกนี้หากจะมีเพศสัมพันธ์ต้องป้องกัน และมีการวางแผนการมีบุตร โดยหลังหยุดรับประทานยา 6-12 เดือน ถึงสามารถตั้งครรภ์ได้
หากคุณเลือกวิธีรักษาสิวด้วยการรับประทานยา ควรต้องระวังให้มาก ต้องกล้าซักถามคุณหมอเกี่ยวกับยา แจ้งคุณหมอหากมีโรคประจำตัว หากเคยรับประทานยาแล้วมีภาวะแทรกซ้อน เช่นมีแผลในกระเพาะอาหาร หรือหลอดอาหาร ควรแจ้งให้คุณหมอทราบทันที และไม่ควรรับประทานยาต่อเนื่องยาวนาน เมื่ออาการสิวลดลงแล้วก็ควรเปลี่ยนมาใช้ยาทา

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิธีรักษาดวงตาให้สดชื่นเสมอ


วิธีรักษาดวงตาให้สดชื่นเสมอ


1. ปรับช่องแอร์ในรถให้ต่ำลง อย่าให้ลมเย็นพ่นเข้าตาโดยตรง เพราะ ลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง ถ้าปล่อยไว้นานๆ กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้

2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆ และหาซื้อได้ไม่ยากเลย แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหารแอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว

3. อย่ามองข้ามมันเทศ ของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย วิตามิน ในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด

4. เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่ หัวหอมแดง ลงไปด้วยเพื่อให้สารต้าน อนุมูลอิสระ เคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วยป้องกันต้อหินให้คุณ

5. อย่าขี้เกียจเดิน เพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้งจะช่วยลดความดันในกระบอกตา ทำให้สายตาเป็นปกติ

6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3 ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา

7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมัน จัดอาหารพวกนี้เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ รวมทั้งสายตาของคุณด้วย

8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืม ใส่แว่นกันแดดเสมอ เพื่อป้องกันทั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา

9. ตรวจวัดความดันโลติตเป็นประจำทุกเดือน ความดันที่ผิดปกติมีผล โดยตรงต่อสายตามาก จึงไม่ควรมองข้ามการวัดความดัน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที

10. สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดดอย่างเดียวอาจจะสู้กับแดดแรง มหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว หมวกปีกกว้างจึงเป็นอุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ เพื่อป้องกันรังสียูวีที่ อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด

11. อย่าละเลยการ ทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างเครื่องสำอางค์ทุกคืน เพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะเหลือตกค้างอยู่เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวง ตาจนเกิดการติดเชื้อ

12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวมของสารลูเทอินและซีอาแซนธินที่ช่วยลดความเสี่ยงโรค ต้อกระจกและยิ่งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย (คนที่เกลียดผักคงต้องพยายามหน่อยนะ)

13. ผักบีตสดๆเป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้ ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือดในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตาคุณสวยและใส

14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัด เพราะคนที่ติดรสเค็มจะมีโอกาสเป็นโรค ต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด

15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ เพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณสะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่

16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลลา หรือเปปเปอร์มินต์ มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมองซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์รูปแท่งในจอตาอีก ต่อหนึ่ง ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดีขึ้นได้แล้ว ว้าว!! ง่ายจัง

17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป แม้การอ่านหนังสือก็ควร ถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆทุกๆ 30 นาที เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลียหรือล้าถาวร

18. กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท

19. คุณผู้หญิงคะ เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือนนะคะ 
ทุกครั้งที่มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ จะต้องมีความสกปรกเล็กๆน้อยๆ ติดมาด้วย เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน
3 เดือนขึ้นไป มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคไปโดยปริยาย


ที่มา : http://aqua.c1ub.net/forum/index.php?topic=76553.0

นม....มีประโยชน์อย่างไร

นม....มีประโยชน์อย่างไร



ประโยชน์ของนม




      นมเป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียมและโปรตีน ช่วยให้กระดูกเจริญเติบโตและแข็งแรง นมมีความสำคัญกับเด็กมากโดยเฉพาะเด็กในช่วงก่อนเข้าวัยรุ่นและช่วงวัยรุ่น เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายเจริญเติบโตเร็วมาก

แคลเซียมช่วยให้เด็กมีความหนาแน่นของมวลกระดูกมากขึ้น พอเข้าสู่วัยรุ่น จะช่วยให้กระดูกยาวขึ้น ถ้าในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว ร่างกายเรามีการสะสมไว้เพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะแล้วยังช่วยในเรื่องของฟันอีกด้วย แต่ถ้าใครมีไม่เพียงพอ จะทำให้เสี่ยงต่อโรคกระดูกเปราะได้ง่าย
ความ จริง ประโยชน์ของแคลเซียมในน้ำนมไม่ได้มีแค่นั้น ยังทำหน้าที่ยืดหดของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ระบบประสาทไวต่อสิ่งเร้ามากขึ้น ช่วยให้เลือดแข็งตัว
งานวิจัยระยะหลังออกมามากว่า แคลเซียมช่วยลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งขณะนี้ในหลายประเทศทั้งสหรัฐและยุโรป ศึกษาวิจัยกันมาก โดยใช้นมพร่องมันเนยให้กับเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในโปรแกรมลดน้ำหนัก โดยพบว่ากลุ่มเด็กที่ดื่มนมพร่องมันเนยสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ ได้ดื่มนม ทำให้เข้าใจว่าแคลเซียมมีผลต่อการใช้ไขมัน ซึ่งอยู่ในขั้นศึกษาอยู่ แต่พอสรุปได้ว่านม
ยังช่วยในเรื่องลดน้ำหนักอีกด้วย

      ทั้งนี้ มีข้อมูลระบุว่า เด็กไทยตัวเตี้ยกว่ามาตรฐานสากลค่อนข้างเยอะ ถ้าอยากให้เด็กไทยเติบโตเต็มศักยภาพ พ่อแม่ผู้ปกครองควรให้ลูกหลานดื่มนมอย่างเพียงพอ เพราะนมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับเด็ก โดยเฉพาะนมจืด เพราะไม่เป็นปัญหาในเรื่องอ้วนและฟันผุ
       จากภาพรวมในรายงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร ระบุด้วยว่าคนไทยดื่มนม 12.3 ลิตรต่อคนต่อปี เทียบแล้วตกวันละ 33 ม.ล.หรือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ถือว่าค่อนข้างน้อย
      บางคนไม่ชอบดื่มนม เพราะดื่มแล้วไม่สบายท้อง ท้องเสีย จริงๆ แล้วคนอายุ 6 ขวบ ขึ้นไป น้ำย่อยที่จะย่อยน้ำตาลแลกโตสในนม ซึ่งอยู่ในทางเดินอาหารจะน้อยหรือแทบจะไม่มีแล้ว น้ำตาลจะถูกแบคทีเรียใช้ สร้างเป็นกรดขึ้นมา เกิดเป็นแก๊ส ทำให้ท้องเสีย ซึ่งเป็นปัญหาของคนที่ไม่ได้ดื่มนมต่อเนื่อง แต่คนที่ดื่มนมต่อเนื่องจะมีการปรับตัว ทำให้ไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการ
ดังนั้น คนที่ดื่มนมแล้วมีอาการ จะมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนสูง จึงควรปรับมาดื่มนมหลังอาหารหรือดื่มปริมาณน้อยแต่ดื่มหลายๆ ครั้ง ให้ได้วันละ 1 แก้ว เพื่อไปชะลอไม่ให้กระดูกพรุนเร็วขึ้น

ที่มา : http://www.thaihealth.or.th/node/5265 

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

15 ความจริงเกี่ยวกับเด็กอักษรศาสตร์

15 ความจริงเกี่ยวกับเด็กอักษรศาสตร์ (ม.ศิลปากร)



1.) ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นเด็กอักษรฯ ซึ่งทุกคนต้องนึกภาพฝันไว้ว่า นักศึกษาคณะอักษรศาสตร์นั้นจะต้องเป็นเลิศด้านภาษา พูดภาษาอังกฤษน้ำไหลไฟดับกันทุกคน แต่หารู้ไม่ว่ามีเด็กอักษรฯจำนวนมากที่ตกภาษาอังกฤษและเกลียดภาษาอังกฤษเข้าไส้ถึงขั้นไม่ยอมลงทะเบียนเรียน ทั้ง ๆ ที่ภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับและหากไม่ลงก็จะไม่จบแต่ก็มีคนที่ยอมเรียนไม่จบหรือจบช้าเพียงเพราะไม่อยากเรียนภาษาอังกฤษมาแล้ว

2.) เมื่อนึกภาพสาวอักษรฯ หนุ่ม ๆ อาจจะนึกภาพสาว ๆ หุ่นนางแบบ หน้าคม ผมเป๊ะ สวยปิ๊งที่มีแฟนคุมกันทุกคน ทว่าความเป็นจริงแล้ว สาว ๆ เหล่านั้นมีอยู่จริงในคณะไม่เท่าไหร่ เพราะประชากรส่วนใหญ่ของคณะอักษรศาสตร์นั้นก็เป็นนักศึกษาธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้สวยเลิศและไม่มีใครจีบอีกต่างหาก จะจีบกันเองก็ยากเพราะผู้ชายอักษรชอบเด็ก ครั้นจะจีบหนุ่มต่างคณะก็ยากเพราะเค้าก็คบกันเองทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้สาวอักษรจึงมีจำนวนคนโสดเยอะ…มาก

3.) เชื่อหรือไม่ คณะอักษรศาสตร์ยุคแรก ๆ มีวิชาเอกที่ชื่อว่า เอกคณิตศาสตร์

4.) วิชาเอกในฝันของนักศึกษาอักษรฯของแทบทุกคนในตอนแรกที่เข้ามาเรียนคือวิชาเอกภาษาอังกฤษ แต่เมื่อเรียนไปเรื่อย ๆ หากรุ่นพี่ถามอีกครั้ง จะมีคนตอบคำตอบเดียวกันน้อยลงเรื่อย ๆ จนเมื่อถึงเวลาเข้าเอกตอนปีสองเทอมสอง จะเหลือเด็กที่เรียนเอกภาษาอังกฤษกันจริง ๆ แค่ไม่ถึง 50 คนเท่านั้น

5.) ภาควิชาที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในหมู่ชายแท้แห่งอักษรคือ ภาคภูมิศาสตร์ เพราะเป็นภาควิชาที่ดู “แมน” ที่สุดแล้ว

6.) คณะอักษรศาสตร์เป็นคณะที่มีจำนวนนักศึกษาชายเรียนน้อยมาก หากคิดเป็นสัดส่วนผู้ชายต่อผู้หญิงแล้ว จัดได้ว่ามีจำนวนเป็น 1:10 เลยทีเดียว ดังนั้น จึงไม่แปลกหากจะบอกว่าผู้ชายอักษรฯค่อนข้างที่จะเจ้าชู้ไม่แพ้ผู้ชายคณะไหน เผลอ ๆ อาจจะโชคดีกว่าด้วยซ้ำเพราะมีผู้หญิงให้เลือกไม่ซ้ำหน้า

7.) นอกจากจำนวนผู้ชายในคณะอักษรฯที่มีอยู่น้อยมากอยู่แล้ว หลาย ๆคนในกลุ่มนี้ที่ไม่ใช่ชายแท้มักจะหน้าตาดีเสียส่วนใหญ่ ทำให้สาว ๆ โอดครวญกันถ้วนหน้าเพราะหนุ่มหน้าเกาหลีที่เห็นวันเปิดเรียนภายหลังกลายเป็นสาวน้อยนุ่งกระโปรงทรงสอบในวันหลัง

8.) คณะอักษรศาสตร์มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Arts” ซึ่งนอกจากจะ อาร์ต หรือ “ติสต์” แล้ว ยังเป็นคณะเดียวในมหาวิทยาลัย นอกเหนือจากคณะจิตรกรรม หรือ สถาปัตย์ ฯลฯ ที่สามารถแต่งชุดไปรเวทมาเรียนหรือสอบกลางภาคได้แบบ “ไม่แคร์สื่อ”

9.) รู้หรือไม่ คณะอักษรศาสตร์ไม่มีการว้าก เพราะอาจารย์ในคณะไม่เห็นด้วยกับระบบว้าก แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังมีการแอบว้ากลับ ๆ ของนักศึกษาชายและนักศึกษาเพศที่สามแบบเฉพาะกิจอยู่

10.) ชาวอักษรฯมีคำศัพท์ที่ใช้เรียกเพื่อน ๆ น้อง ๆ เพศที่สามอย่างน่ารักน่าชังว่า “นะจ๊ะ” ฉะนั้นหากมาศิลปากรแล้วได้ยินคำนี้ก็ไม่ต้องงงถ้ามีคนเดินมาทักว่าเป็นนะจ๊ะหรือเปล่านะจ๊ะ

11.) เพลงประจำมหาวิทยาลัยศิลปากรคือเพลง “Santa Lucia” ซึ่งเป็นเพลงภาษาอิตาเลียน เพราะผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเป็นศาสตราจารย์ชาวอิตาเลียนนาม ศาสตราจารย์คอราโด เฟโรจี (ศิลป์ พีระศรี) อย่างไรก็ตาม กลับไม่มีภาควิชาภาษาอิตาเลียนที่เปิดให้เรียนกันที่คณะอักษรศาสตร์ แต่มีเปิดที่คณะโบราณคดีแทน

12.) เพลง “กลิ่นจันทร์” ซึ่งเป็นเพลงที่นิยมร้องกันในมหาวิทยาลัยนั้นมีที่มาจากคณะอักษรศาสตร์ผู้ประพันธ์ก็คือ คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ ซึ่งเป็นอดีตอาจารย์ที่คณะอักษรศาสตร์นี่เอง หากยังไม่คุ้นชื่อ หากได้ยินชื่อ ว.วินิจฉัยกุล หรือ แก้วเก้า ก็อาจจะถึงบางอ้อ เพราะท่านเป็นนักเขียนคนดังแห่งวงการน้ำหมึกของไทยท่านหนึ่ง

13.) รู้หรือไม่ นวนิยายเรื่อง “น้ำใสใจจริง” นั้นผู้ประพันธ์เป็นอดีตอาจารย์ที่คณะอักษรฯ ใช้โครงเรื่องจากลักษณะนิสัยของเด็กในคณะ สถานที่ในคณะอักษรศาสตร์ แม้กระทั่งฉบับภาพยนตร์ก็เป็นคณะอักษรฯที่นี่เช่นกัน

14.) คณะอักษรฯยุคแรก ๆ นั้นมีชายผ้าเหลืองเดินให้ว่อน … เพราะพระภิกษุ สามเณรในยุคนั้นนิยมมาเรียนที่คณะอักษรศาสตร์เป็นจำนวนพอสมควรเลยทีเดียว จึงไม่แปลกสำหรับคนในสมัยนั้นที่จะนั่งเรียนกับพระ และมีเพื่อนที่เรียกคนอื่น “โยม” แทน “เธอ”

15.) ภาควิชาที่ขึ้นชื่อว่าเข้มมากที่สุดภาคหนึ่งในคณะอักษรฯคือภาคภาษาญี่ปุ่น ส่วนภาคที่ขึ้นชื่อว่าแข็งที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือภาคฝรั่งเศส แต่หากถูกถาม ทุกคนจะร้อง ว้าว! หากคุณตอบว่าอยู่ภาคภาษาอังกฤษ



จขกท เองก็หลงเข้าใจผิดคิดว่าอักษรศาสตร์เขาเน้นภาษาอังกฤษเสียอีก...เด็กอักษรฯทุกสถาบันถ้าหลงเข้ามาอ่านก็เม้นท์หน่อยนะจ๊ะ  ^^


บทความ :  พี่นิ้ง  อักษรศาสตร์ ศิลปกร   http://morpamahalai.blogspot.com