ads by google

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

ข้อเสีย 10 ประการ จากการไปเที่ยวด้วยตัวเอง


 

ข้อเสีย 10 ประการ จากการไปเที่ยวด้วยตัวเอง


ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า แน่นอน.. แอดมินรวบรวมขึ้น เพื่อสะท้อนในมุมกลับว่า จะดีกว่ามั้ย 
ถ้าคุณจะเลือกไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ที่เป็นมืออาชีพจริงๆ และไว้ใจได้  แต่ก็เป็นความจริงอีกเช่นกันว่า
ประเด็นที่เราหยิบยกมาเล่า อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับเพื่อนๆ ทุกคนที่เลือกเดินทางไปเที่ยวด้วยตนเอง
เอาเป็นว่า ประเด็นที่แอดมินหยิบยกขึ้นมา เป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงกับเพื่อนบางท่าน หรือแม้แต่กับ
ประสบการณ์ตรงของแอดมินเอง ที่คิดสะว่า เป็นการนำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง หรือแม้แต่จะดีกว่ามั้ย
ถ้าเหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับที่เพื่อนๆ ที่จะตัดสินใจไปไปเที่ยวด้วยตนเอง


1)  เราจะไปไหนดี พักที่ไหนดี เที่ยววันไหนตรงไหนดี ต้องวุ่นวายกับการเตรียมตัวให้มาก

2)  งบประมาณบานปลาย  เชื่อเถอะค่ะ  ร้อยเอาร้อย ถ้าคุณไปเที่ยวเพื่อจะไปเที่ยวที่โน้นที่นี่ให้ครบแบบไม่ได้ ลำบากก็ทนนะคะ
     รับรองได้ว่า ใช้งบมากว่าไปกับทัวร์แน่นอน  โดยเฉลี่ยจากที่เคยถามๆ กันมา จะเปลือกกว่าไปกับทัวร์ราวๆ 30% ได้เลย
     อย่างไรถ้าคิดจะไปเที่ยวเองจริงๆ  เตรียมงบสำรองไว้ให้เพียงพอด้วยนะคะ ไม่งั้นจะพลาดได้  ด้วยความเป็นห่วงจริงๆ


3)  เที่ยวได้ไม่ครบ ไปได้น้อยที่ ในเวลาที่เท่าๆ กัน  สิ่งนี่เป็นประเด็นที่แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ว่าไปเที่ยวเองไปได้ไม่ครบแน่นอน
     

4)  ขาดผู้รู้จริงชี้แนะ กรรมวิถี หรือวิถีปฏิบัติที่ถูกต้อง 
     มีหลายๆ เมืองทีเดียว ยิ่งถ้าเป็นเมืองที่มีเรื่องการสืบสานวัฒนธรรมกันมาเยอะๆ หรือแม้แต่เมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนา
     ถ้าคุณไม่ได้ศึกษามาอย่างดี มีประสบการณ์เยอะๆ คุณทำอะไรไม่ถูกแน่นอน  อย่างที่ภาษาวัยรุ่นเขาเรียกว่า "ไปไม่เป็น"
     ยกตัวอย่างเช่น คุณจะเดินทางแก้ชง ในวัดจีน.. มีกรรมวิธีปฏิบัติมากมายที่คุณจะต้องทำตามลำดับเพื่อให้ได้บุญอย่างแท้จริง
     บางทีจะบังเอิญไปทำในสิ่งที่เขาห้ามทำเสียด้วยสิ จะลำบากกันไปใหญ่ ทีนี่แทนที่จะได้บุญกลับเป็นไปโทษไปก็เป็นได้นะคะ



5)  สื่อสารไม่เข้าใจ ขาดไกด์ชาวท้องถิ่นแนะนำ หลงทางไปอาจจะลำบาก  อยากได้อะไร อยากไปไหน กินอะไรไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง
     สุดท้ายก็เลยกลายเป็นพลาดโอกาสที่จะได้สัมผัสสิ่งไฮไลน์ของที่นั่นๆ ไป


6)  เที่ยวเองมันเหนื่อย  ถ้าเลือกไปเที่ยวด้วยการขับรถไปเอง รับรองว่า ต้องมีใครสักคนเหนื่อยแน่นอนค่ะ
     สัมภาระต่างๆ ก็ต้องหิ้วไปเอง  แต่ถ้าเดินทางไปกับทัวร์ บริษัททัวร์มักเป็นผู้ดูแลสัมภาระให้คุณ เพื่อให้คุณ
     ออกเดินเที่ยวๆ ได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น



7)  ความปลอดภัย ถ้าใครตั้งใจแล้วว่าจะเดินทางไปเองแน่ๆ สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือต้องเตรียมข้อมูลพื้นฐานให้แม่นๆ
     เพราะถ้าคุณหวังไปสอบถามเอาดาบหน้า หรือจากคนท้องถิ่นอย่างเดียวละก็  หากโชคร้ายอาจจะนำภัยมาหาตัวได้
     มีหลายๆ ครั้งหลายๆ เมือง ที่คนร้ายมักรู้สึกสบโอกาสทันที่  เมื่อเจอนักท่องเที่ยวหรือคนแปลกถิ่น
     
    เพิ่งไม่นานมานี้ ได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเมืองหนึ่งกับเพื่อนๆ แล้วก็ได้บังเอิญเจอนักท่องเที่ยวคนไทยกลุ่มหนึ่ง
    กำลังเจอเห็นคนเมาท้องถิ่นลวนลาม คือประมาณว่า ผู้ชายท้องถิ่นเมามาเต็มที่  แล้วไปจับก้น จับไหล่สาวคนหนึ่ง
    ในลิฟท์ และแกงค์นั่นก็เป็นสาวๆ ล้วนๆ อยากจะด่า อยากจะโวยวาย สรุปพูดกันไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไม่รู้ว่าถ้าโวยวายไป
    ผู้ชายขี้เมาคนนั้นจะมีเพื่อนอยู่ข้างล่างอีกหรือไม่  พวกนั้นก็พยายามไปอธิบายที่เคาท์เตอร์โรงแรม  สรุปว่าคุยกันไม่
    รู้เรื่อง และเหมือนเคาท์เตอร์ก็ทำท่างงๆ ไม่สนใจด้วยแหละ เพราะว่าก็ถือเป็นลูกค้าของเขาด้วยกันทั้งหมด 
    สรุปดิฉันก็เลยอดไม่ได้ก็เลยเข้าไปช่วยเจรจา และใช้สิทธิ์ของการเป็นไกด์เข้าช่วยให้เจ้าหน้าที่เกรงใจ  สุดท้ายทาง
    โรงแรมก็มาขอโทษ  ยังดีที่ขี้เมาคนนั้นไม่ได้ทำอะไรมากมาย ขอได้คำขอโทษสักนิดก็พอรับได้แล้วจบกันไป
    เพราะฉะนั้น ต้องอยากบอกให้ระวังตัวเองให้ดี เพื่อให้คุณปลอดภัยตลอดการท่องเที่ยว



8) อันตรายจากการไม่รู้  ถ้าคุณชอบที่จะไปเที่ยวเอง  สิ่งที่สำคัญที่ห้ามละเลย เลยคือการฟัง  บางครั้งมีบางสถานการณ์เกิดขึ้น
    อย่างไม่ตั้งใจ  และเมื่อเขาประกาศอะไรแล้ว คุณไม่ทันฟัง  นั้นหมายถึงคนพลาดครั้งใจแล้ว หรือแม้แต่คุณอาจจะกำลังตกอยู่ใน
    สถานการณ์ที่อันตรายก็เป็นได้  

    นอกจากการฟังแล้ว การช่างสักเกต ก็สำคัญมากๆ เช่น คุณอาจเป็นคนชอบเที่ยวธรรมชาติ เที่ยวน้ำตก ณ บางจุด 
    อาจมีป้ายของท้องถิ่น  ที่ติดประกาศไว้แล้ว ว่าเป็นจุดเสี่ยง แต่อาจไม่ใช่ป้ายทางการให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้อ่านด้วย..  
    ถ้าคุณไม่รู้ นั่นก็หมายความว่า  คุณกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงเช่นกัน 



9) มีสติ ต้องมีสติให้มากหากจะไปเที่ยวเอง  ถ้าไปต่างประเทศ ต้องเช็คตัวเองเสมอๆ ค่ะ ไม่มีใครคอยเตือนคุณ
    เหมือนไปกับทัวร์นะคะ  พาสปอตยังอยู่มั้ย??   เตรียมเอกสารผ่านแดนหรือยัง??
    เลือกใช้เงินสกุลให้ถูกต้องมั้ยเพื่อให้คุณไม่เสียเปรียบ  เมืองไหนต้องต่อราคาเท่าไหร่ ??  เมืองไหนต้องระวังอะไร  
    ต้องตั้งสติให้ดีทุกครั้งก่อนออกสตาร์ทไปเที่ยวค่ะ
    เช่นถ้าคุณไปช้อปที่มาเก๊า ก็ต้องระวังเงินทอน  ท้องถิ่นสกุล Melaka เพราะถ้าคุณได้เงินทอนสกุลนี้มาเยอะๆ ละก็ 
    คุณคงต้องหาโอกาสกลับไปใช้เงินก้อนนี้อีกครั้งที่มาเก๊า   เพราะเงินสกุลนี้ ไม่สามารถแลกคืนหรือใช้กับที่อื่นๆ ได้ 
    เพราะไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในประเทศอื่นๆ ให้เทียบ 



10)  ความวุ่นวาย ความเหนื่อยล้า หลายๆ ครั้งก็นำมาซึ่งความขัดแย้ง  ทำไมถึงบอกเช่นนี้ทราบไม่ค่ะ  เหตุเพราะหลายๆ ครั้ง
     ที่ไกด์อย่างไร ไม่ได้เป็นเพียงไกด์  แต่เป็นคนห้ามศึกระหว่างคนที่เดินทางมาด้วยกันด้วย  สาเหตุไม่มีอะไรมากหมายหรอกค่ะ
     เพียงแค่เหนื่อยล้า  แต่พอมีตัวกลางและกำหนดการที่เราวางให้ข้อขัดแย้งก็หายกลายเป็นความสุขสนุกสนานได้อย่างสบายๆ
     แต่ถ้าไปเที่ยวกันเอง เพื่อนๆ เคยเจอสถานการณ์นี้กันมั้ยค่ะ  แม้กระทั้งจะตื่นกี่โมง แล้วจะไปเที่ยวไหนก่อนหลัง ก็ยังตีกันเลย
     สุดท้ายกลายจากว่าความสุขเป็นความทรงจำที่ไม่ดีไปเสียได้.. แย่จังเลย 


10 อันดับสาวเทียมที่หนุ่มๆต้องตะลึง

 

10 อันดับสาวเทียมที่หนุ่มๆต้องตะลึง


ว่ากันว่าเดี๋ยวนี้ผู้หญิงแท้ๆอยู่กันยากมากขึ้น เพราะสาวประเภทสองแห่กันสวยนำหน้า เล่นเอาหนุ่มๆมองเผินๆแล้วไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเธอนี้คือผู้ชายมาก่อน ไม่ว่าจะผิวพรรณ หน้าตา ผมเผ้า ทรวดทรงองค์เอว ที่ไม่ต่างจากผู้หญิงแท้ (เผลอๆสวยกว่าผู้หญิงจริงบางคนด้วยซ้ำ) แต่พวกเธอเหล่านี้ก็ไม่ได้มีดีแค่ความงามหรือแค่โชว์ลิปซิงค์เท่านั้น พวกเธอก็มีความสามารถและเก่งไปไม่น้อยหน้าชนิดที่ผู้ชายยังอาย

1. Regine Wu



วัย 50 ปี (จีน-ไต้หวัน) ผ่าตัดแปลงเพศตั้งแต่อายุ 22 ปี มีความสามารถในการเป็นนักขาย โดยเธอสร้างสถิติการขายในช้อปปิ้งชาแนล ใช้เวลา 85 นาทีขายคอมพิวเตอร์แล็ปทอปได้ 700 เครื่อง
ในเวลา 1 ชั่วโมงขายรถบ้าน 250 คัน และในเวลา 80 นาทีขายเพชรหนึ่งกะรัต 380 วง ปัจจุบันเธอเป็นพิธีกรรายการทีวีหลายรายการ




2. Jin Xing



วัย 45 ปี (จีน) เธอเคยทำงานในกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนตั้งแต่อายุ 9 ขวบ และจบการศึกษาเกี่ยวกับศาสตร์และศิลปะแห่งการเต้นรำยุคใหม่ที่สหรัฐฯ อีกทั้งเคยทำงานสอนเต้นรำอยู่ที่อิตาลีกว่า 2 ปี ก่อนจะกลับมาเปิดโรงละครเพลงที่เซี่ยงไฮ้ในปี 2542




3. Ai Haruna



วัย 40 ปี (ญี่ปุ่น) เธอโด่งดังจากการชนะเลิศและครองตำแหน่ง Miss International Queen 2009 ซึ่งจัดที่ประเทศไทย และอีกงานที่สร้างชื่อให้เธอคือการเป็นนักร้อง ซึ่งทำให้เธอเป็นที่รู้จักเป็นอย่างมาก




4. Harisu



วัย 37 ปี (เกาหลีใต้) มีชื่อเดิมว่า Lee Kyung-yeop โด่งดังจากการร้องเพลงและงานแสดง เธอผ่าตัดแปลงเพศในปี พ.ศ. 2533 ปัจจุบันเธอสมรสแล้ว




5. Lee Si-yeon



วัย 33 ปี (เกาหลีใต้) ก่อนแปลงเพศเขาเป็นนายแบบชายคนแรกที่ได้แสดงแบบชุดแฟชั่นของค่ายตัดเสื้อผู้หญิง และเคยแสดงในภาพยนต์ Sex Is Zero และ Sex Is Zero 2




6. Ayana Tsubaki



วัย 28 ปี (ญี่ปุ่น) เป็นที่รู้จักและโด่งดังในวงการโทรทัศน์และแฟชั่นของญึ่ปุ่น จบการศึกษาจาก Aoyama Gakuin University เธอเดินทางมาแปลงเพศที่ไทย




7. น้องปอย



วัย 26 ปี (ไทย) โด่งดังจากการประกวด ซึ่งเธอเคยครองตำแหน่งมิสทิฟฟานี่ 2004 และมิสอินเตอร์เนชั่นแนล ควีน 2004 ปัจจุบันเป็นทั้งนางแบบนิตยสารและพรีเซนเตอร์โฆษณาต่างๆมากมาย




8. Alicia Liu



วัย 26 ปี (จีน-ไต้หวัน) เธอเป็นนางแบบชื่อดังของไต้หวัน ผ่าตัดแปลงเพศเมื่ออายุ 18 ปี โด่งดังจากงานถ่ายแบบ พรีเซ็นเตอร์สินค้า และวงการโทรทัศน์ ด้วยสัดส่วนที่เซ็กซี่ 34-25-34 สูง 171 ซม. ทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จักและโด่งดังอย่างมาก




9. Kayo Satoh



วัย 24 ปี (ญี่ปุ่น) เธอมีผลงานมามาย ทั้งนางแบบ พริตตี้ พิธีกร และคอสเพลย์




10. Liu Shihan



วัย 23 ปี (จีน) โด่งดังจากการเป็นนางแบบในนิตยสาร สำเร็จการศึกษา Hunan Mass Media Vocational Technical College


ประสบการณ์เฉียดตาย

 

หญิงวัยกลางคนเกิดอาการหัวใจวายและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ระหว่างที่อยู่บนเตียงผ่าตัด เธอพบกับประสบการณ์เฉียดตาย ซึ่งในระหว่างนี้เธอเห็นพระเจ้า และถามพระองค์ว่าวาระสุดท้ายของเธอมาถึงแล้วใช่ไหม พระเจ้าตอบว่ายัง เธอต้องอยู่ต่อไปอีกสามสิบปี

หลังจากฟื้นคืนสติ เธอตัดสินใจอยู่ต่อที่โรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดดึงหน้า ทำปากให้อิ่มเอิบ เสริมหน้าอก และอื่นๆอีกสารพัด เธอยังให้ช่างเข้ามาเปลี่ยนสีผมให้อีกด้วย เธอทำเช่นนี้เพราะเห็นว่าในเมื่อจะต้องมีชีวิตอยู่อีก 30 ปีต้องใช้เวลาทั้งหมดนี้อย่างมีความสุขที่สุด

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการเสริมสวย เธอเดินออกจากโรงพยาบาล แต่โชคร้ายกลับถูกรถพยาบาลชนตาย เมื่อมาพบหน้าพระเจ้าอีกครั้ง เธอบ่นว่า

“ฉันได้ยินว่าพระองค์บอกเองว่าฉันต้องมีชีวิตอยู่อีก 30 ปี”


พระเจ้าตอบว่า “โทษที เราจำเจ้าไม่ได้!
...


เตือนสติ


เอาไม้ซีกจะไปงัดไม้ซุง

"เอาไม้ซีกจะไปงัดไม้ซุง" ในปัจจุบันสำนวนนี้มักถูกใช้เพื่อเป็นการเตือน "คนตัวเล็ก" ว่าอย่าได้คิดไปต่อต้าน "คนตัวใหญ่กว่า" ในขณะที่ พระครูประโชติธรรมาภิรมย์ กลับกล่าวไว้อย่างตรงกันข้ามในการให้โอวาท ณ เวทีสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น ครั้งที่ 1 "ปมปริศนาของการพัฒนากับสุขภาพของชาวระยอง" เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2550 ณ โรงเรียนวัดป่าประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง 

แต่เดิมทีนั้นคนโบราณใช้ไม้ซีกงัดไม้ซุงเพื่อเอาไม้ในป่า คนตัดไม้ไม่ได้ใช้แม่แรงหรือเครื่องมืออะไร แต่ใช้ต้นไม้เล็กๆ งัดขอนซุงใหญ่ ในเรื่องการจัดการกับปัญหาจากการขยายอุตสาหกรรมนี้ก็เช่นเดียวกัน
 "เมื่อมันมีอะไรเกิดขึ้นในสังคม ถ้าเรามีน้ำใจ ถ้าเราร่วมใจกัน ก็สามารถงัดไม้ซุงให้ปลิ้นได้"

เดี๋ยวนี้คนเราขาดสำนึก สู้แมลงผึ้งยังไม่ได้ หลายท่านทราบดีว่า เมื่อแมลงผึ้งบินออกไปหากินสถานที่ใดไม่เคยทำให้สถานที่นั้นชอกช้ำ หรือบอบช้ำ ในทางตรงกันข้าม เป็นไปเพื่อเกื้อกูลต่อสถานที่นั้นๆ ซึ่งท่านทั้งหลายทราบดีว่า มันจะเกิดการผสมเกสร และลักษณะการไปหากินนั้นนิ่มนวล 

โลกมนุษย์พ่อแม่ปู่ยาตายายสอนลูกหลานไว้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของจักรวาลหรือส่วนไหนของโลก จงพยายามทำตัวเหมือนแมลงผึ้ง แล้วทรัพยากรต่างๆ มันจะเหลือกินเหลือใช้ อย่างที่รู้ๆ กัน ต่อไปขอใช้คำว่า ความคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิ คิดอะไรเกิดมาจะเอาลูกเดียว ไม่เคยคิดว่าถ้าลมหายใจเข้าแล้ว ให้เราถามตัวเองว่าในเมื่อเราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นั้น ถึงที่สุดแล้ว ถึงจุดจบของชีวิตถามดูว่าต้องการอะไร? ต้องการชีวิตหรือไม่? เวลาหายใจออกเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า ต้องการลมหายใจเข้า 

สรรพสิ่งในโลกนี้มีความเปลี่ยนแปลง ถ้าเรามีของดี ๆ เอาเข้าไป เอาเข้าไป ๆ ถามว่าอนาคตร่างกายดี ๆ จะเกิดขึ้นกับชีวิตนี้หรือไม่ เราทราบดีว่า แม้ว่าระบบย่อยดี แต่ระบบขับถ่ายไม่ดี อะไรจะเกิดขึ้น หากคนในสังคม ในโลกมนุษย์ปัจจุบัน มีบุคคลบางคนที่เอาเข้าจนเกินไป ระบบย่อยไม่ดี ขับถ่ายไม่ดี แล้วปรากฏว่าเป็นอย่างไร...... ความหายนะเกิดขึ้นกับชีวิต 

มันเป็นสัจธรรมของมันอย่างนั้นเอง ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรที่ไหนอยู่ เราไม่ได้มีพันธะต่อโลก มีความละอายต่อใจ ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่อบาปว่า เรานั้นเป็นก้อนทรัพยากรที่ไม่มีคุณค่า หากินไปวันๆ ลองกลับมามองชีวิตของคนก็ดี ไม่มีความละอายเลยใช่หรือไม่ ไม่มีความเกรงกลัวต่อบาป ไม่เห็นบาปเป็นผลกระทบ ไม่กลัวบาปที่อยู่ในตัวว่าอย่างนั้น 

ผู้ว่าราชการจังหวัดได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ไม่ว่าจังหวัดไหนล้วนมีหน้าที่บำรุงให้สงบ ปรับทุกข์ของประชาราษฎร์ จำใส่หัวสมองเลย ถ้ามีจังหวัดไหนที่จะผิดจากผู้ว่าฯ อย่างนั้น ภาษาพระเขาเรียก เอาเปรียบ ว่าเราไม่อยู่ตรงนี้จะไปเอาอะไรตรงนั้น ย่อมมีแต่เอา เค้าเรียกว่า เอาเปรียบ 

เวลาคนเรามีน้ำอยู่ เมื่อคิดจะให้แล้วก็เบาสบาย บรมครูพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่า จิตคิดจะให้ เป็นจิตที่เบาสบาย จริงหรือไม่ จิตที่คิดว่าจะให้ เมื่อเราคิดจะให้น้อยให้มาก เราก็คิดแต่ว่า วันนี้จะให้อะไรแก่กันดีหนอ รับรองว่าไม่มีปวดหัว แต่หากใครตื่นนอนแล้วคิดว่า วันนี้จะเอาอะไรจากกันดีหนอ ทรัพยากรตรงไหนมี มนุษย์ย่อมจะเอา ระวังเถิด! ไปเช็คประสาทสมองมาให้ดี มันจะหนัก มีแต่ความอยากขึ้นสมอง มีแต่ความต้องการอะไรก็ดี 

ความคิดที่เป็นอาวุธที่ลับ เมื่อแต่ก่อนนี้เคยเลื่อมใสในถ้อยคำนี้มาก่อน ว่ามีมันสมอง มีถ้อยคำที่จะเอาเป็นอารมณ์ ถ้อยคำที่ว่า โลกนี้อะไรคือความจริง อะไรคือสิ่งที่ดีงาม คือการศึกษาว่า โลกนี้อะไรคือความจริง อะไรคือสิ่งที่ดีงามสำหรับชีวิต ไม่ต้องปวดหัวด้วยความคิดที่จะเอา มาคิดว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความรู้จากความจริง เมื่อรู้แล้วก็อยากจะให้ 

วิญญาณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราถามว่า ถ้าสิ่งเหล่านั้น สมบัติเหล่านั้นเป็นของดีจริงแล้ว ถามว่าพระพุทธเจ้าจะตัดสินใจออกบวชหรือไม่ แต่ถ้าไม่ได้ดีจริง ก็เพราะความดีที่ว่านี้มันมีขอบเขต เมื่อมีดีแต่ก็มีขอบเขตกลับไปครอบมัน มันก็ไม่ได้ดีจริง 

เพราะฉะนั้นเราก็คิดกันต่อไปว่า ธรรมะอะไรในโลกนี้ที่ในสังคมมี ที่เรามีอยู่คือ ปัญญา รู้จักพยายามมีความสำนึกว่า สัพเพสัพตาสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน สมบัติในโลกนี้เค้ามีให้ใช้ ไม่ได้มีให้เอา แต่ถ้าทรัพยากรที่เอื้อเฟื้อกันในชาตินี้ เราต้องรู้จักและใช้ให้เป็น เค้าไม่ได้มีให้ใครครอบครอง ขออภัย..กฎหมายบ้าๆ ให้คนหาว่า คนนี้มีนี้ไว้ในครอบครอง แล้วทีนี้คนจะไม่บ้าอยากมีงั้นหรือ? มันก็เปลืองทรัพยากรธรรมชาติ คนก็ถูกครอบงำด้วยความโกรธความโลภความหลง ท่านทั้งหลายทราบดีว่า ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ถามว่ามันเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติกับใครหรือไม่ มันอยู่ที่ไหนก็ทำลายที่นั่น ในเมื่อทำลายตัวเองไม่พอ บางทีก็ไปทำลายคนอื่น ทำลายสิ่งอื่น มันเป็นพลังงานแห่งการทำลาย แต่พลังงานในการสร้างสรรค์ความสามัคคี ความเมตตาจะยั่งยืนนานในชีวิต 

เราไม่ต้องรู้หนังสือมาก เวลาถามใครว่าเราสามารถฝ่าฟันอะไรได้ด้วยเหตุใด ด้วยความสามัคคีจึงฝ่าฟันได้ อาวุธนิวเคลียร์ก็คงไม่ต้องสร้าง ลูกกระสุนมากมายมหาศาลก็คงจะอยู่ในฝักดี ๆ แน่ บางทีถ้าทุกคนมาหันหน้าคุยกัน มาจับมือคุยกันปรึกษาทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย มาศึกษาว่าชีวิตนี่จะยืนยาวได้อย่างไร


พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทรัพย์ย่อมฆ่าผู้มีปัญญาทราม ทรัพย์มีเพื่อรับใช้ชีวิต เงินทองมีเพื่อรับใช้ชีวิต มีแต่ชีวิตที่ดีงามที่มีไว้ตรึกตรอง ถ้าใครยังคิดว่าเอาเงินทองมาเป็นนายเหนือหัวชีวิต มันก็มีมากกว่าสิ่งอื่น ...วันนั้นไปที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีท่านหนึ่งบอกว่า .... มันไม่มารับใช้ชีวิตมันจึงไม่ดีงาม ไม่มารับใช้สังคมในครอบครัว ไม่มารับใช้ในวงสังคมหนึ่ง ประเทศหนึ่ง อยู่แต่ของตน มีแต่ระบบทุนนิยม บางคนมีร้อยล้านพันล้านก็เอาไปกินซะหมด เคยได้ยินโครงการเผาเอาเงินไปกินไหม มันไม่มีที่สิ้นสุด แล้วไม่เปลืองทรัพยากรหรือ? ถามหน่อยว่าทรัพยากรที่เราเอามาถลุงเอามาใช้กันนี่ มันกลายเป็นมลภาวะแล้วมันคุ้มค่ากันหรือไม่


อย่างประเทศเราที่ยังด้อยพัฒนา และกำลังพัฒนา ประเทศที่มีความรู้ความสามารถรู้ทันเขา เรามองดูว่าเขามีแซนวิชหน่อยมีขนมหน่อยซองละ5-10 บาทแค่นี้ก็เป็นมลภาวะเต็มไปทั้งโลก เป็นขยะอยู่นี้ คนเราจะเหลืออะไรเมื่อเราตาย เหมือนเวลาเราซื้อเสื้อยืด เคยได้ยินเค้าเปิดเผยข้อมูลว่าคนเสียเงินซื้อ 5-10 ปีรวมๆ กันเป็น 50,000 ล้านบาท 20 ปีกลายเป็น 100,000 ล้านบาท นี่เราต้องสูญเสียให้กับแค่ส่วนประกอบ หากเรากิน น้ำอัดลม 1 ขวด เท่ากับว่าเรากินน้ำตาลไปกว่า 20 เท่า กินน้ำตามไป 20 แก้วถึงจะล้างสารพิษในร่างกายออกหมด เรารู้ไม่เท่าทันเขา เขาฉลาดกว่าเรา เขาจึงติดฉลากหลอกหูหลอกตาเราหน่อยและเป็นขยะเต็มไปทั้งโลก เป็นขยะเท่านั้นไม่พอ ยังก่อมลภาวะกับเรา ทำให้เราเป็นโรคภัยไข้เจ็บ เดี๋ยวนี้มีปัญหากันเกี่ยวกับ เด็กอ้วนเพิ่ม 

วันนั้นก็ไปถามนักศึกษา หนูขอถามหน่อยได้ไหม เด็กเค้าก็นั่งมองกัน เราก็ถามต่อ.... ถามนักศึกษาสามคนว่า ทำอะไรเวลาดูโทรทัศน์ เด็กสามคนตอบกลับต่างก็มีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน สังคมนี้เช่นเดียวกัน ตาเราดู หูเราได้ยินเสียง แต่ถ้าเรามีเครื่องหมายรู้อยู่กับตัวเรา เครื่องหมายรู้ก็ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างกัน ที่สำคัญคือ พื้นฐานที่ทำให้คุณค่าอะไรแตกต่างกัน ถ้าเรารู้พื้นฐานเราจะรู้ว่า เดี๋ยวนี้เราตามแต่สิ่งที่เป็นมูลค่า หารู้ไม่ว่าทุกสิ่งมันมีคุณค่า แต่เราต้องการมูลค่าจนทำลายคุณค่าที่ดีไปในธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อม ถ้าหนูเห็นว่าชีวิตของหนูมันมีคุณค่ามากมาย คือเป็นที่รักของพ่อแม่ ของเพื่อนบ้าน ถ้าหนูเห็นว่าชีวิตต้องการมูลค่าก็เอาชีวิตไปเทียบมูลค่า ถามว่าใครเสียหาย? ทรัพยากรต่างๆ มันมีคุณค่าหลงเหลือ แต่ใครก็ตาม มองเห็นแต่มูลค่าอย่างเดียว ปรารถนาแต่เพียงสิ่งเดียว อย่างเช่นเห็นต้นไม้เป็นมูลค่าไม่มองเห็นเป็นคุณค่า ฉะนั้นเราต้องหาวิธีดูธาตุแท้หาคุณค่า 

สุดท้ายนี้ต้องขออนุโมทนาสาธุในความมีน้ำใจของทุกท่านที่ได้มาร่วม ในเมื่อมีผู้รู้ได้ออกกฎหมายบัญญัติเกี่ยวกับสุขภาพมาแล้ว ก็ลองเอาไปใช้ดู และจงเป็นเชือกเล็กๆ แต่สามารถเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ งัดท่อนซุงให้พลิกกลับ 



สุดท้ายขออนุโมทนาสาธุในความมีน้ำใจของท่านอีกครั้ง

แฉสิ้นไส้ ธัมมชโย"อวดอ้าง"

แฉสิ้นไส้ ธัมมชโย"อวดอ้าง"
สองอดีตพระลูกวัดพระธรรมกายแฉเจ้าอาวาส ธัมมชโย อวดอ้างนั่งทางในเห็นตนเองเป็นหัวหน้าพระพุทธเจ้า แถมมีพฤติกรรมหลอกลวงญาติโยมทำตัวเป็นหมอดูจอมปลอม หลอกเอาดวงชะตาชาวบ้านไปให้ซินแสทำนายแล้วอ้างนั่งทางในเห็นอนาคตพระมโนย้ำชัดพระธัมมชโยสอนผิดเพี้ยน ยอมรับหลงทางในช่วงวัยรุ่นที่เข้าใจว่าวัดอื่นสีดำหมด

อดีตพระลูกวัดพระธรรมกายย้ำชัดธรรมกายไม่ใช่พุทธศาสนา เตือนญาติโยมอย่าหลงผิดนำบุตรหลานเข้าธรรมกาย

จากการที่สื่อมวลชนได้เสนอข่าวเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายในหลายแง่มุม ปรากฏว่าเมื่อเวลา17.00 น. วันที่ 5 มกราคม 2542 ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ได้มีการบันทึกเทปรายการไอทีวีทอร์ค เป็นการสนทนาถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยมีพระอดิศักดิ์ วิริยธกฺโก อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และ พระมโน เมตฺตานนฺโท ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการพระพุทธศาสนา ในเลขาธิการใหญ่องค์การสัมมนาศาสนา และอดีตกรรมการบริหารวัดพระธรรมกาย ซึ่งถือเป็นการยอมเปิดตัวเป็นทางการครั้งแรก เพื่อเปิดเผยข้อเท็จจริงที่เกิดเป็นข่าวขึ้นนี้ และจะยืนยันถึงกรณีที่เป็นข่าวว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ

โดยพระอดิศักดิ์ได้กล่าวถึงสาเหตุที่เป็นแรงผลักดันให้ต้องออกจากวัดว่า เริ่มต้นจากกรณีการกว้านซื้อที่ดินขยายอาณาเขตของวัด ภาพที่ประจักษ์ตามากเป็นเรื่องของการขับไล่ชาวบ้านที่อาศัยเช่าที่นาทำกิน ซึ่งการทำงานของพระราชภาวนาวิสุทธิ์หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในช่วงเวลานั้นเป็นลักษณะของการใช้อารมณ์ตัดสิน และกุมอำนาจการตัดสินใจไว้โดยลำพัง จนเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงกับชาวบ้าน และที่สำคัญเป็นเรื่องของการกล่าวชมสีกาก็จะใช้คำกล่าวที่มีลักษณะล่อแหลมเชิงชายหนุ่มเกี้ยวหญิงสาว ทากกว่าจะเป็นลักษณะของครูอาจารย์เมตตาลูกศิษย์ ซึ่งเป็นการได้ยินได้ฟังกับหูตนเองอยู่บ่อยครั้งมาก อาทิ วันนี้สวยจังเลยนะ แก้มยุ้ยน่าหยิก หูติ่งหูนี้สวยดีนะ


ที่น่าหนักใจอีกประการหนึ่ง
เป็นการอวดอ้างของเจ้าอาวาส
ที่มักอ้างตนเป็นผู้วิเศษ
สามารถดูหมอนั่งทางในได้ชัดเจน

จนมีญาติโยมมาตรวจดวงชะตากันอย่างมาก ก็จะใช่วิธีเอาวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากไว้แล้วนัดหมายให้มาฟังอีกครั้งในห้าวันสิบวัน หลังจากนั้นก็จะให้สีกาอิ๊ดนำไปให้ซินแสตรวจทำนาย พร้อมกันนี้ก็ให้ลูกศิษย์ไปสืบหาข้อมูลตามที่อยู่ของโยมคนนั้น เมื่อถึงวันนัดหมายก็จะบอกโยมว่าได้นั่งทางในตรวจดูให้แล้ว แต่ความจริงไม่ได้นั่งเลย โดยเรื่องเหล่านี้เห็นและสัมผัสมากับตัวเอง


นอกจากนี้การเสนอข่าวของสื่อมวลชนที่เป็นความจริงอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของการถวายข้าวพระพุทธเจ้า มีการกล่าวอ้างว่าเป็นการทำบุญแบบสุดๆ คือทำบุญเช่นว่านี้เพียงครั้งเดียงเท่ากับทำบุญมามากกว่าร้อยชาติพันชาติเสียอีก โดยจะนำอาหารมานั่งสมาธิถวาย แล้วให้ญาติโยมจิตนาการเอาเองว่ายืนถวายและพระพุทธองค์ยืนมือมารับข้าว แต่ในปัจจุบันนี้ทำได้ง่ายเพียงเอาเงินมาให้แล้วทางวัดจะจัดการให้เอง

ทั้งนี้เรื่องเดิมมีอยู่ว่าแม่ชีทองสุขได้ใช้ให้แม่ชีจันทร์ ขนนกยูงทำถวายพระพุทธและบอกว่าเมื่อแม่ชีทองสุขตายไป ก็ขอให้แม่ชีจันทร์ทำแบบนี้ให้ ทางวัดพระธรรมกายก็เอามาดัดแปลงเป็นการเปิดเทปแม่ชีทองสุขนำถวาย โดยผู้ที่สามารถถวายได้มีแต่เฉพาะแม่ชีจันทร์เท่านั้น ต่อมาก็ไม่มีการเปิดเทปอีกแต่อุปโลกน์ให้แม่ชีจันทร์เป็นผู้วิเศษสามารถถวายได้คนเดียว

อย่างไรก็ตามเรื่องที่น่าอนาถใจอย่างมาก
เป็นการอวดอ้างความเป็นหัวหน้าพระพุทธเจ้า

คืออย่างนี้เมื่อเด็กหนุ่มสาวเข้ามาวัด โยมมักให้ดูที่มาของเด็กว่ามีความเป็นมาอย่างไร ก็จะบอกว่าเด็กมาจากสวรรค์ชั้นดุสิตส่วนพ่อแม่มาจากสวรรค์ชั้นต่ำกว่า มีหน้าที่รับใช้เทวดาที่สูงกว่าก็คือลูกของตัวเอง แล้วเจ้าอาวาสจะถามว่าทำไมถึงมาเกิด เด็กก็จะบอกว่ามีคนสั่งให้มาเกิด พอตรวจมากเข้าก็พบว่าตัวเจ้าอาวาสเป็นผู้สั่งซึ่งเป็นเทวดาผู้ใหญ่ ซึ่งเทวดาผู้ใหญ่นั้นหมายความว่าพระพุทธเจ้า หากแต่ในที่สุดแล้วเทวดาผู้ใหญ่นั้นกลับกลายเป็นหัวหน้าของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ที่มีอำนาจสั่งให้ผู้มีบุญเหล่านี้มาเกิด ในขณะที่พ่อแม่ที่อุ้มท้องมานี้เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น สำหรับพระธัมมชโยคือพ่อแม่ที่แท้จริงคนเดียวหรือต้นธาตุต้นธรรมที่จะเป็นผู้มีสิทธิ์อบรมเด็กทั้งหมด


ขณะเดียวกันพระมโนกล่าวสรุปได้ว่า เข้าวัดพระธรรมกายครั้งแรกเพราะเข้าใจว่าที่นี่เป็นแหล่งของความอบอุ่น เป็นสีขาวบริสุทธิ์ที่อื่นสีดำหมด ความคิดดังกล่าวไม่แตกต่างไปจากคนที่เข้าวัดธรรมกายคนอื่นๆ แต่เมื่อเข้าไปอย่างจริงจังโดยบวชที่วัดแห่งนี้ ก็ได้ทุ่มเทกำลังกายใจและกำลังความคิดให้กับวัด และสุดท้ายก็พบความจริงว่าที่นี่ไม่ใช่ของจริง โดยเฉพาะเรื่องของการอัดวิชาธรรมกาย ซึ่งเจ้าอาวาสอ้างว่าสามารถอัดให้ใครก็ได้และเอาคืนกลับมาก็ได้ เมื่อใครได้อัดธรรมกายก็เท่ากับว่าบรรลุสำเร็จวิชชาธรรมกาย หากเป็นเช่นนี้ก็เป็นการผิดเพี้ยนอย่างมาก เพราะการจะสำเร็จบรรลุทางธรรมต้องเกิดจากการปฏิบัติด้วยตัวของตัวเอง ไม่ใช่ใครมาอัดใส่ให้ได้

มาถึงวันนี้สามารถกล่าวได้ว่าหากมีนักเรียนนิสิตนักศึกษา ต้องการมาปฏิบัติธรรมกับวัดพระธรรมกายก็พอจะกล่าวได้อย่างนี้ "ไปคิดให้ดีเสียก่อน เมื่อคิดว่าคิดดีแล้ว ก็ให้กลับไปคิดใหม่ เพราะที่นี่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ วิชชาธรรมกายไม่ใช่ศาสนาพุทธล้วนๆ อีกต่อไป และพุทธศาสนาก็ไม่ใช่วิชชาธรรมกาย และโลกไม่ได้มีแต่เฉพาะสีขาวกับสีดำหากแต่โลกที่แท้จริงมีมากมายหลากหลายสี"


หากผู้ดำเนินรายการถามถึง คำสอนของพระธัมมชโยถูกต้องตามหลักศาสนาหรือไม่ ขอตอบว่าเวลานี้ อาตมาไม่มีความคิดว่าเป็นไปตามหลักพระพุทธศาสนา หลังจากที่ได้ศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ หลักพระพุทธศาสนา ปรัชญา และการตีความ ก็พบว่าที่รู้ที่เรียนมายังไม่ถูกต้องทั้งหมด ย้อนกลับไปแล้วคิดได้ว่าไม่น่าที่จะทำอะไรลงไปถึงเพียงนี้เลย
"เป็นเพราะหลงไปว่าวัดพระธรรมกายสอนให้รู้จักศาสนาอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่วัดอื่นสอนแบบนามธรรม ตัวอย่างเรื่องของบุญนี้สามารถจับต้องได้ ขณะที่หลักสูตรการสอนนักเรียนกลับบอกไม่ได้ว่าบุญมีปริมาณเท่าไร ทำแบบสุดๆเป็นอย่างไร"


ผู้สื่อข่าวถามว่าอะไรเป็นสาเหตุเกี่ยวกับกระแสหรือสิ่งผิดปกติที่วิจารณ์กล่าวหากันอยู่ในขณะนี้ พระมโนย้ำว่า สิ่งที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อตอนซื้อที่ดินจำนวน 2500 ไร่ รอบๆ วัด และเกิดการประท้วงของชาวนาด้วยเหตุผลต้องการให้วัดสงบแต่ตอนหลังกลายเป็นการขยายที่ดินสร้างธุดงคสถานจาก 195 ไร่เป็น 1000 ไร่และเพิ่มเป็น 2500 ไร่ และยังกว้านซื้อไปเรื่อยๆ พระมโนบอกว่าความรู้สึกตอนนั้นวัดพระธรรมกายยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว

ด้านพระอดิศักดิ์ กล่าวว่า พบสิ่งผิดปกติหลายอย่างในช่วงที่เข้าไปบริหารมีความรู้สึกบางครั้งบางคราวการกระทำของเจ้าอาวาสเป็นไปด้วยอารมณ์ เริ่มจากเมื่อสร้างวัดเสร็จเมื่อปี 2527-2528 สภาวะเปลี่ยนไปเจ้าอาวาสเริ่มไม่อยู่วัด ลับๆ ล่อๆ ส่วนมากไปเชียงใหม่ถ้ามีงานจึงจะกลับมาสักครั้งหนึ่ง ตอนที่อยู่เชียงใหม่เจ้าอาวาสจะเอาพวกเศรษฐีทั้งหลายขึ้นไปฝึกไปปฏิบัติธรรมบนนั้น โดยเจ้าอาวาสอ้างว่าเหตุที่ต้องพาคนรวยไปเชียงใหม่ เพราะที่วัดพระธรรมกายไม่ได้บรรยากาศ ในที่นี้หมายถึงว่า ตัดออกจากความห่วงหาอาลัยของครอบครัว


พระมโนกล่าวว่า สิ่งที่เจ้าอาวาสปฏิบัติอยู่บ่อยๆ มากก็คือ การนั่งตรวจทางในเพื่อเช็คอนาคตให้ญาติโยม ซึ่งก็เป็นทำนองเดียวกันกับการตรวจดูโชคชะตาราศี ดูดวงชะตาเหมือนกับหมอดูทั่วไป แต่กรณีของเจ้าอาวาสต่างจากหมอดูตรงที่ขอเอาวันเดือนปีเกิดเวลาตกฟากไปแล้ว ก็แจ้งให้ญาติโยมมารับทราบผลในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า หลังจากนั้นก็นำดวงชะตาไปให้สีกาอี้ดนำไปให้หมอดูช่วยทำนายให้พร้อมกับให้สาวกไปตรวจสอบประวัติของคนผู้นั้นกับรายละเอียดต่างๆเมื่อครบกำหนดเวลาที่นัดกันไว้โยมรายนั้นกลับมาก็จะบอกว่า "โยม หลวงพ่อน่ะได้นั่งดูให้แล้ว ตรวจดูให้แล้ว .."แต่จริงๆ แล้วไม่ได้นั่ง เรื่องนี้อาตมาสัมผัสมาด้วยตัวเองซึ่งญาติโยมที่ถูกเจ้าอาวาสหลอกตอนนั้นชื่อ คุณควงกับคุณเรณู สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่อาตมาเห็นคนเดียว


เดลินิวส์ 6/1/2542
อ่านข่าวทั้งหมด > http://rabob.tripod.com/daily42.htm

-- 

10 อันดับสร้างความสุขในที่ทำงาน


ต้องไปอยุธยา

ต้องไปอยุธยา


เมื่อมีการประกาศรับผู้ชายเป้นผุ้ช่วยสูตินารีแพทย์ ณ คลีนิคแห่งหนึ่งย่านรังสิต สมชายกำลังเดินหางานพอดี เลยสนใจไปสมัคร เมื่อไปถึงฝ่ายบุคคล

สมชาย: สวัสดีครับ มาสมัครงานในตำแหน่งผู้ช่วยสูตินารีเวชครับ

ฝ่ายบุคคล: ค่ะ รายละเอียดงานนะคะ ก็ช่วยพาหญิงสาวที่เข้ามาตรวจ ถอดเสื้อผ้า ล้างอวัยวะเพศ พร้อมทำความสะอาดให้ และพามารอที่เตียง รอการตรวจจากเจ้าหน้าที่ค่ะ ส่วนเงินเดือนก็เริ่มต้นที่ 50,000 บาทค่ะ

สมชาย: งั้นผมกรอกใบสมัครเลยครับ

ฝ่ายบุคคล: ได้ค่ะ แต่ต้องไปอยุธยานะคะ

สมชาย: ไม่ได้ทำที่รังสิตนี่เหรอครับ?


ฝ่ายบุคคล: ทำที่รังสิตนี่ล่ะค่ะ แต่คิวผู้สมัครยาวไปถึงอยุธยาแล้วนะคะตอนนี้ คุณต้องไปต่อคิวที่โน่นค่ะ

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

สุขใดเล่าจะเท่า


ผ่อนคลายปลายเท้า


***ผ่อนคลายปลายเท้า***

เท้า เพื่อนผู้ซื่อสัตย์ ผู้ปิดทองหลังพระให้เราทุกคนได้
ยืนได้เดินได้วิ่ง ทำกิจกรรมต่างๆทั้งวัน ไม่เคยปริปากบ่น แม้เราจะละเลยไม่เคยเหลียวแลเท่าที่ควร แต่ทราบไหมว่าหากเราเอาใจใส่ดูแลเท้าบ้าง เท้าจะมอบขุมทรัพย์ใหญ่ คือ สุขภาพที่ดีและอายุยืนยาวแก่เรา

สุขภาพของเราขึ้นอยู่กับการไหลเวียนที่ดีของกระแสเลือดน้ำเหลือง และกระแสประสาท ร่างกายของเราเหมือนเครือข่ายการไหลเวียนที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน ทุกส่วนเชื่อมโยงประสานงานกัน เหมือนวงดนตรีวงหนึ่ง หากส่วนใดทำงานไม่ประสานกัน จะเกิดเสียงเพลงที่ไพเราะ คือ สุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดีได้อย่างไร โดยเฉพาะเท้า เป็นช่องทางไหลเวียนขนาดเล็กเมื่อเทียบกับร่างกาย โอกาสที่จะอุดตันจากของเสียต่างๆจึงเกิดได้ง่าย หากไม่ขยับขยายช่องทางที่อุดตัน ก็จะส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆเป็นลำดับต่อเนื่องกันไป จนส่งผลเสียต่อสุขภาพได้

ธรรมชาติให้เราเดินเท้าเปล่าสัมผัสพื้นดิน ซึ่งการเดินบนทางที่มีกรวดหินกิ่งไม้ใบไม้จะช่วยกดนวดขยับขยายช่องทางไหลเวียนโดยอัตโนมัติ แต่ชีวิตคนยุคนี้เราเดินอยู่บนรองเท้า หรือ พื้นอาคารเรียบๆและไม่ได้สัมผัสพื้นดินเลย หากโชคดีเป็นคนดูแลสุขภาพ ไปรับการบีบนวดเพื่อขยับขยายช่องทางไหลเวียนในเท้าได้บ่อยๆ สุขภาพก็ดีกว่าคนที่ไม่ได้บีบนวดบ้าง แต่จะมีสักกี่คนโชคดีแบบนั้น และมีสักกี่คนที่พูดได้เต็มปากว่า “ฉันสุขภาพดี”

-แช่เท้าในน้ำอุ่นช่วยได้อย่างไ
น้ำอุ่นๆจะช่วยให้ช่องทางต่างๆขยายตัว ของเสียที่อุดตันช่องทางอยู่จึงมีโอกาสหลุดออก ทำให้ช่องทางไหลเวียนสะอาดโล่งขึ้นทุกครั้งที่แช่เท้าในน้ำอุ่นๆ ยิ่งหากบีบนวดไปด้วยก็ยิ่งทำให้เท้ากลับมาเป็นช่องทางไหลเวียนที่ดีขึ้นโดยเร็ว เราก็มีสุขภาพดีขึ้นโดยเร็วได้

-แช่เมื่อไหร่ดี
ตอนไหนก็ได้ที่คุณอยากดูแลเท้าและมี เวลาให้เท้า แค่ 5-10 นาที คุณก็มีสุขภาพดีขึ้นได้ ไม่ต้องพึ่งยาใดๆ แต่ผลพลอยได้อีกอย่างที่สำคัญ คือ เมื่อช่องทางไหลเวียนขยายตัว การไหลเวียนดีขึ้น คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย และง่วง จึงแนะนำให้แช่เท้าในน้ำอุ่น สัก 5-10 นาที ก่อนนอนทุกคืน คุณจะหลับสบาย หลับลึก และไม่ต้องใช้วิธีนับแกะ หรือ ยาเคมีที่มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพคุณในระยะยาว แช่เท้าเสร็จแล้วไม่ควรทำกิจกรรมอื่น ใด เช่น ทำงานหรือดูทีวี ควรเข้านอนทันที ลงทุนแช่เท้าในน้ำอุ่น 5-10 นาที แลกกับการหลับสบายหลับลึก ไม่ต้องเป็นพ่อค้าแม่ค้าก็รู้ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า อย่าให้ข้ออ้างว่ากลับบ้านดึกไม่มีเวลาแช่เท้า ทำให้คุณเสียโอกาสมีสุขภาพดีเลย

-จำเป็นต้องบีบนวดหรือใส่เกลือไหม
น้ำเกลือช่วยดูดซับประจุเสียจากร่างกายได้เทียบเท่ากับการที่เราสัมผัส พื้นดินด้วยเท้าเปล่า แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ใส่เกลือ 1-2 ช้อนชา ต่อน้ำแช่เท้า 1 กะละมัง ก็เพียงพอ การบีบนวดช่วยให้ของเสียอุดตันหลุดง่ายขึ้นเหมือนขุดลอกคูคลองให้น้ำไหลสะดวกขึ้น แต่หากบีบนวดไม่สะดวกเพราะติดว่าคุณอ้วนหรือเอวตึงขาตึงก็ขอให้แช่เท้าในน้ำอุ่นๆ สักหน่อย

ข้อมูลจาก สาระแห่งสุขภาพ



มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมีฯ(ตถตา)




รูปภาพ : ชาติที่แล้ว การเวียนว่ายตายเกิดแห่งสังสารวัฏ มีจริง คล้ายกับเมื่อวันวาน ที่มีจริง  แต่ ณ ปัจจุบันขณะ สิ่งที่เป็นเมื่อวาน สิ่งต่างๆนั้นไม่มีอยู่แล้ว มีเพียงการสืบเนื่อง สืบต่อของเหตุและปัจจัย    ในทางพุทธธรรม พึงเรียนรู้สิ่งนี้ว่า เป็นสภาพธรรมขณะหนึ่งๆ ยอมรับว่า เมื่อมีเหตุมีปัจจัย เหตุแรงสืบเนื่องต่อไปของสิ่งนั้นๆ  ย่อมมี  ...และเมื่อใดเหตุและปัจจัยสลายลง สิ่งที่ถูกขับเคลื่อนอยู่โดยเหตุปัจจัยนั้นๆจึ่งย่อมจะดับสลายลง    หากมีบุคคลกล่าวว่า อดีตชาติไม่มี ไม่มีเหตุปัจจัยสืบต่อในสรรพสิ่ง บุญกรรมไม่มีจริง   นั้นย่อมค่อนไปทางผู้มีมิจฉาทิฏฐิหรือผู้มีความเห็นที่ผิดในหลักพุทธธรรม  เขาอาจเชื่อในสิ่งบังเอิญหรือดลบันดาลว่าเป็นไปได้จริง  เขาย่อมจะมองสิ่งรอบตัวแบบตายตัวหรือของแข็งกระด้าง  (นัตถิตาทิฏฐิ)      หรือบุคคลหากค่อนไปทางปฏิเสธเหตุและปัจจัยว่า อดีตชาติไม่มีจริง  ทิ้งสภาพธรรมหรือนามรูปไว้ สรุปตั้งธงล่วงหน้าว่าเป็นความว่าง  โดยมิได้เข้าไปเรียนรู้ศึกษาโดยละเอียดแยบคาย   ย่อมมีแนวโน้มไปทางเห็นทุกอย่างเป็นของที่ว่างเปล่า(ที่ขาดสูญ-อุทเฉททิฏฐิ)    และหากบุคคลนั้นมีความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่มันเที่ยงแท้คือชาติภพ   และปัจจุบันมันก็ยังเป็นเราคนเดิมมาจากอดีตไม่เปลี่ยนแปลง  อนาคตย่อมไปเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อไปเรื่อยๆ  โดยไม่เข้าใจถึงนามรูปที่แปรเปลี่ยนไปทุกๆขณะ   และเขายึดปรากฏการณ์เกิดดับต่างๆในชีวิตความรู้สึกและอารมณ์เป็นของเที่ยงตายตัวเสมอ   จิตใจเขามิเคยสลัดออกมาจากความนึกคิดอารมณ์ของตัวเองได้เลย  เพราะรูปการณ์เหล่านี้มันถูกบัญญัติโดยอัตโนมัติแล้วออกจากจิตที่มีความเห็นไปทาง "สัสสตทิฏฐิ"    กระนั้น มีความรู้คำสอนพระพุทธเจ้าที่เป็นทางสายกลาง วางไว้บนทางแห่งสัมมาทิฏฐิ เพื่อความดับทุกข์  มีอยู่ว่า ชาติอดีต(ขันธ์๕อดีต)ก็ดี นับย้อนไป ไกล หรือใกล้ ก็ดี ล้วนไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปเสมอ  ไม่สามารถยึดจับอะไรในอดีตมาวางไว้ ณ ปัจจุบันตรงนี้ได้เลยและมันไม่อยู่ตลอด  ทั้งร่างกาย ความรู้สึก ความจดจำ ความนึกคิดปรุงแต่ง และอารมณ์การรับรู้ของคนๆนึง     ท่านที่กำลังอ่านข้อความนี้ทุกคนก็รู้สึกถึงมันได้   มันแปรปรวนไปตามองค์ประกอบขันธ์ที่ปรุงแต่งซึ่งกันและกัน  จึงไม่ใช่สิ่งที่ทนอยู่ในสภาพเดิมได้ ผ่านกาลเวลา  และมันไม่ใช่เรา ของๆ เรา(อนัตตา)   ว่างจากตัวเราตัวเรา ของๆเราโดยแท้จริงอยู่เสมอ(สุญญตา)  จึ่งไม่ควรยึดถืออุปาทานในขันธ์๕ชาติอดีตว่าเป็นตัวเราของเรา   และสิ่งที่เป็นไปของขันธ์๕และองค์ประกอบในอดีตนี้นับรวมไปถึง เมื่อนาทีที่แล้ว ชั่วโมงที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้วมา 10ปีที่แล้วมา ...ฯลฯ ของคุณเช่นกัน    แม้ปัจจุบันก็ไม่เที่ยง มันกำลังแปรเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ   จึงไม่พึงยึดมั่นถือมั่นเช่นกัน   มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมีฯ(ตถตา)    - dhammachak Social network -    Photo: Borobudur, Indonesia | บรมพุทโธ ประเทศอินโดนิเซีย    -#

ชาติที่แล้ว การเวียนว่ายตายเกิดแห่งสังสารวัฏ มีจริง คล้ายกับเมื่อวันวาน ที่มีจริง

แต่ ณ ปัจจุบันขณะ สิ่งที่เป็นเมื่อวาน สิ่งต่างๆนั้นไม่มีอยู่แล้ว มีเพียงการสืบเนื่อง สืบต่อของเหตุและปัจจัย

ในทางพุทธธรรม พึงเรียนรู้สิ่งนี้ว่า เป็นสภาพธรรมขณะหนึ่งๆ ยอมรับว่า เมื่อมีเหตุมีปัจจัย เหตุแรงสืบเนื่องต่อไปของสิ่งนั้นๆ ย่อมมี
...และเมื่อใดเหตุและปัจจัยสลายลง สิ่งที่ถูกขับเคลื่อนอยู่โดยเหตุปัจจัยนั้นๆจึ่งย่อมจะดับสลายลง

หากมีบุคคลกล่าวว่า อดีตชาติไม่มี ไม่มีเหตุปัจจัยสืบต่อในสรรพสิ่ง บุญกรรมไม่มีจริง 
นั้นย่อมค่อนไปทางผู้มีมิจฉาทิฏฐิหรือผู้มีความเห็นที่ผิดในหลักพุทธธรรม
เขาอาจเชื่อในสิ่งบังเอิญหรือดลบันดาลว่าเป็นไปได้จริง
เขาย่อมจะมองสิ่งรอบตัวแบบตายตัวหรือของแข็งกระด้าง
(นัตถิตาทิฏฐิ) 

หรือบุคคลหากค่อนไปทางปฏิเสธเหตุและปัจจัยว่า อดีตชาติไม่มีจริง
ทิ้งสภาพธรรมหรือนามรูปไว้ สรุปตั้งธงล่วงหน้าว่าเป็นความว่าง
โดยมิได้เข้าไปเรียนรู้ศึกษาโดยละเอียดแยบคาย 
ย่อมมีแนวโน้มไปทางเห็นทุกอย่างเป็นของที่ว่างเปล่า(ที่ขาดสูญ-อุทเฉททิฏฐิ)

และหากบุคคลนั้นมีความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่มันเที่ยงแท้คือชาติภพ
และปัจจุบันมันก็ยังเป็นเราคนเดิมมาจากอดีตไม่เปลี่ยนแปลง
อนาคตย่อมไปเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อไปเรื่อยๆ
โดยไม่เข้าใจถึงนามรูปที่แปรเปลี่ยนไปทุกๆขณะ 
และเขายึดปรากฏการณ์เกิดดับต่างๆในชีวิตความรู้สึกและอารมณ์เป็นของเที่ยงตายตัวเสมอ
จิตใจเขามิเคยสลัดออกมาจากความนึกคิดอารมณ์ของตัวเองได้เลย
เพราะรูปการณ์เหล่านี้มันถูกบัญญัติโดยอัตโนมัติแล้วออกจากจิตที่มีความเห็นไปทาง "สัสสตทิฏฐิ"

กระนั้น มีความรู้คำสอนพระพุทธเจ้าที่เป็นทางสายกลาง วางไว้บนทางแห่งสัมมาทิฏฐิ เพื่อความดับทุกข์
มีอยู่ว่า ชาติอดีต(ขันธ์๕อดีต)ก็ดี นับย้อนไป ไกล หรือใกล้ ก็ดี ล้วนไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปเสมอ
ไม่สามารถยึดจับอะไรในอดีตมาวางไว้ ณ ปัจจุบันตรงนี้ได้เลยและมันไม่อยู่ตลอด
ทั้งร่างกาย ความรู้สึก ความจดจำ ความนึกคิดปรุงแต่ง และอารมณ์การรับรู้ของคนๆนึง

ท่านที่กำลังอ่านข้อความนี้ทุกคนก็รู้สึกถึงมันได้ 
มันแปรปรวนไปตามองค์ประกอบขันธ์ที่ปรุงแต่งซึ่งกันและกัน
จึงไม่ใช่สิ่งที่ทนอยู่ในสภาพเดิมได้ ผ่านกาลเวลา
และมันไม่ใช่เรา ของๆ เรา(อนัตตา) 
ว่างจากตัวเรา ของๆเราโดยแท้จริงอยู่เสมอ(สุญญตา)
จึ่งไม่ควรยึดถืออุปาทานในขันธ์๕ชาติอดีตว่าเป็นตัวเราของเรา 
และสิ่งที่เป็นไปของขันธ์๕และองค์ประกอบในอดีตนี้นับรวมไปถึง เมื่อนาทีที่แล้ว ชั่วโมงที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้วมา 10ปีที่แล้วมา ...ฯลฯ ของคุณเช่นกัน

แม้ปัจจุบันก็ไม่เที่ยง มันกำลังแปรเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ 
จึงไม่พึงยึดมั่นถือมั่นเช่นกัน 
มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมีฯ(ตถตา)

- dhammachak Social network -

Photo: Borobudur, Indonesia | บรมพุทโธ ประเทศอินโดนิเซีย



ไหว้พระ ทานข้าวแช่ แลงานขอบลาน เที่ยวสงกรานต์ เพชรบุรี


 


No.41/2556

 ไหว้พระ ทานข้าวแช่ แลงานขอบลาน เที่ยวสงกรานต์ เพชรบุรี


 


          ช่วงสงกรานต์ปีนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเพชรบุรี ขอเชิญไหว้พระ ทานข้าวแช่ แลงานขอบลาน เที่ยวสงกรานต์ เพชรบุรี ระหว่างวันที่ 13-18 เมษายน 2556 ณ จังหวัดเพชรบุรี นักท่องเที่ยวจะได้พบกับหลากหลายกิจกรรมดังนี้

          กราบไหว้ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ หลวงพ่อเขาตะเครา วัดเขาตะเครา , วัดใหญ่สุวรรณาราม , พระนอน วัดพระนอน , หลวงพ่อวัดมหาธาตุ วัดมหาธาตุวรวิหาร และพระธาตุฉิมพลี พระเศรษฐีนวโกฎิ

        เข้าสู่หน้าร้อนแบบนี้ ททท.สำนักงานเพชรบุรี ขอแนะนำเมนูอร่อยที่ทุกคนไม่ควรพลาดหากมาเที่ยวเพชรบุรี เริ่มต้นเมนูเด็ดกับ ข้าวแช่เมืองเพชร ซึ่งเป็นเมนูคลายร้อนได้ดีเยี่ยมเลยทีเดียว โดยทำจากข้าวสวยขัดขาว ในน้ำอบควันเทียน ลอยด้วยดอกกระดังงา กินกับกะปิทอด ปลาหวาน และไชโป๊วผัดหวาน ลองลิ้มชิมรสกันได้ในงานประเพณีสงกรานต์และถนนสายข้าวแช่เมืองเพชร ประจำปี 2556 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 เมษายน 2556 ณ บริเวณริมน้ำข้างจวนผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เลือกซื้อและอิ่มอร่อยกับขนมพื้นบ้าน และอาหารพื้นถิ่นของชาวเมืองเพชรมากมาย อาทิ ข้าวแช่สูตรตำรับชาววัง จับหลัก แกงหัวตาล ขนมจีนทอดมัน หอยทอด และขนมหวานที่เลื่องชื่อมากมาย ตลอดทั้งวัน ช่วงเย็นพบกับลานอาหารและเวทีแสดงดนตรี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อเทศบาลเมืองเพชบุรี        โทร. 0 3242 8820

ชิมอาหารเมืองเพชร ชมศิลปะ เดินตลาดแนวๆ ได้ในงาน ขอบลาน อาร์ท มาร์เช่ รอบ 4    งานนี้โรงแรมรอยัลไดมอนด์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี องค์การบริหารส่วนตำบลไร่ส้ม ปศุสัตว์จังหวัดและศิลปินกลุ่มต่างๆในจังหวัดเพชรบุรี โดยการสนับสนุนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเพชรบุรี จัดงานขึ้นระหว่างวันที่ 14 – 18 เมษายน 2556 ณ ลานหน้าโรงแรมรอยัลไดมอนด์ จ.เพชรบุรี ตั้งแต่เวลา 16.00 – 22.00 น.   ในปีนี้นำเสนอตอน ลานนักเลงไก่ สัมผัสวิถีชีวิตคนเมืองเพชรกับไก่ โดยกิจกรรมไฮไลท์ คือ Mascot ไก่ สูง 4 เมตร ลานนักเลงโต โดยจำลองวิถีชีวิตนักเลงไก่เมืองเพชร การประกวดไก่-โชว์ไก่ ชมนิทรรศการไก่พื้นเมือง ลานเพลิน มุมผ่อนคลายกับนวดแผนไทย ลานนักเลงรถ นำคาราวานรถโบราณมาจัดแสดง และถนนศิลปะ พบกับ

 

การแสดงศิลปะแขนงต่างๆ อาทิ การแสดงภาพวาด ภาพถ่าย การแสดงเกี่ยวกับประเพณี วัฒนธรรม ดนตรี สินค้า

พื้นเมือง นอกจากนี้ผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสกับการละเล่นย้อนยุค พร้อมกับรับประทานอาหารพื้นเมืองเพชรบุรี เช่น ข้าวแช่เมืองเพชร ผัดไทย ขนมจีนทอดมัน ก๋วยเตี๋ยวน้ำแดง และลอดช่องน้ำตาลข้น เป็นต้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ โรงแรมรอยัลไดมอนด์ โทร. 0 3241 1061-70

        ครื้นเครงสงกรานต์ริมหาดกับเทศบาลเมืองชะอำ ในงาน ประเพณีสงกรานต์ อ.ชะอำ ประจำปี 2556 จัดขึ้นในวันที่ 13 เมษายน 2556 ณ บริเวณหน้าสำนักงานเทศบาลเมืองชะอำ โดยจะมีการจัดทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งแด่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร และสมณชีพราหมณ์ จำนวน 109 รูป เพื่อเป็นสิริมงคลเนื่องในวันปีใหม่ไทย และร่วมรดน้ำขอพรจากผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ 27 ชุมชน ชมขบวนแห่นางสงกรานต์ บริเวณหน้าโรงแรมลองบีชชะอำ ถนนร่วมจิตต์ ร่วมแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน ภาคกลางคืนมีกิจกรรมการจุดพลุดอกไม้ไฟหลากสี การแสดงบนเวที ชมคอนเสิร์ตจากศิลปิน ณ หน้าสำนักงานเทศบาลเมืองชะอำ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบของสวยงามและของแฮนด์เมด ก็สามารถเดินเลือกซื้อสินค้าภายในงานนี้ได้อย่างจุใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ เทศบาลเมืองชะอำ โทร. 0 3247 2550 ,           0 3247 1665

          หากนักท่องเที่ยวแวะผ่านจังหวัดเพชรบุรีในช่วงสงกรานต์ สามารถร่วมสนุกสนาน กับงานต่างๆได้ สอบถามข้อมูลที่พัก สถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานเพชรบุรี โทร. 0 3247 1006-5 Facebook :                 Tat Phetchaburi 

โทษของการนอนดึก


 







โปรดเมตตา


ศพเดินได้


งวดนี้ให้ตรงๆ เลย


วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ถ้าไม่เข้าใจกัน

 






 

การประหารชีวิตของไทยโบราณ

ฯพณฯ พล.อ.สีเผือก








การประหารชีวิตของไทยโบราณ


เป็นที่รู้กันดีว่าประเทศไทยสมัยโบราณนั้นมีวิธีประหารนักโทษที่ดุดันและโหดร้ายเกินกว่าสภาพร่างกายและจิตใจของนักโทษคนหนึ่งจะรับได้ ก็เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างให้แก่ชาวบ้านหวาดกลัวที่จะกระทำผิด และเหมือนเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ 5 จึงได้มีการยกเลิกการลงโทษและประหารชีวิตในแบบเดิมๆเพื่อนำประเทศเข้าสู่ความเป็นอารยะเทียบเท่าสากล และพัฒนามาเป็นการยิงเป้าและฉีดยากันในปัจจุบันตามลำดับ

ก่อนหน้านี้ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการโปรดเกล้าให้รวบรวมกฎหมายตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรีมาประมวลไว้ด้วยกัน โดยได้กล่าวถึงการประหารชีวิตด้วยวิธีต่างๆถึง 21 สถาน หรือ 21 วิธี ซึ่งแต่ละวิธีนั้นโหดยิ่งกว่าหนังเรื่อง SAW ทุกภาคหรือหนังสยองฮอลลีวูดรวมกันซะอีก

หนัง SAW ที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดดูเหมือนจะชิดซ้ายไปเลย หากเทียบกับการประหารของไทยโบราณ

     - สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสีย แล้วเอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม
     - สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสีย แล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะ ชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์
     - สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก
     - สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกาย แล้วเอาเพลิงจุด
     - สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้ว แล้วเอาเพลิงจุด

     - สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย
     - สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอว และให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็นริ้วลงมาถึงข้อเท้า กระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า
     - สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่น แล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย
     - สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่าง เพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย
     - สถาน10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง (นำเนื้อมาชั่งให้ได้น้ำหนักหนึ่งตำลึง: มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)

     - สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่าง แล้วเอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้น ให้อยู่แต่ร่างกระดูก
     - สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆหนึ่ง แล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดิน แล้วจับขาทั้งสองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)
     - สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอม แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟาง ซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า
     - สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาดลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย
     - สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยาก แล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า

     - สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็น แหกออกดั่งโครงเนื้อ
     - สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อย จนกว่าจะตาย
     - สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่าง ก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้ แล้วไถด้วยไถเหล็กให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่
     - สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนม ให้กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย
     - สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย
     - สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย


จังหวัดที่มีความสุขที่สุดในไทย


 




ขอแสดงความยินดีกับจังหวัดนครพนม ที่ได้รับการจัดอันดับเป็นเมืองที่มีความสุขที่สุด ในประเทศไทยประจำปี 2555 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับกรมสุขภาพจิต และสถาบันวิจัย ประชากรและสังคม ซึ่งมีคะแนนเต็ม 45 คะแนน จัดอันดับมาแล้ว 5 ปีติดต่อกัน ปีนี้นครพนม ได้คะแนนสูงอันดับ 1 ในรอบ 5 ปี คือ 36.70 คะแนน



วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

17 ข้อเสียหนุ่มเกาหลี




17 ข้อเสียหนุ่มเกาหลี


คือ...เห็นหลายคนมากๆที่เกาะกระแสเกาหลี เทรนด์เกาหลี คนเกาหลีอะไรนี่ มาแรงจริงๆ ผู้หญิงบางคนถึงขั้นเพ้อฝันจะแต่งงานกับคนเกาหลี คลั่งไคล้เกาหลีกันอย่างมากกกก!! เราไปเจอ 17 ข้อเสียมา เลยเอามาให้อ่านกันจร้ะ อันนี้แค่เอามาให้อ่านไว้เฉยๆ ไม่ได้มีเจตนาจะประจานหรือพาดพิงอะไรคนเกาหลีนะจร้ะ เพราะรู้ว่าในสังคมคนเราย่อมไม่เหมือนกัน บางคนอาจดี บางคนอาจเลว แต่ไปเจอมาน่าสนใจ เลยเอามาให้อ่านกันจร่ะ

1. ผู้ชายเกาหลีชอบกดขี่ข่มเหงผู้หญิงโดยเฉพาะภรรยา โดยจากการสำรวจพบว่าผู้ชายเกาหลีติดอันดับการซ้อมภรรยามากที่สุดในโลก
2. ผู้ชายเกาหลีเถื่อน ไม่สุภาพ ถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ผู้ชายต้องมีอำนาจเหนือผู้หญิงเท่านั้น
3. ผู้ชายเกาหลีสูบบุหรี่จัดมากถึง 80% เขาถือเป็นเรื่องปกติ
4. ผู้ชายเกาหลีถือว่าการดื่มเหล้า (โซจู) ถือเป็นเรื่องปกติถึง 95%
5. เมื่อแต่งงานผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายให้สินสอดกับผู้ชาย

6. ผู้ชายเป็นฝ่ายซื้อเรือนหอ แต่ผู้หญิงต้องไปหาซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด
7. คนเกาหลีไม่รู้จักการขอโทษแม้ว่าตัวเองจะผิดก็ตาม (ถ้าไม่ใช่พระเอกกับพระรองในละครที่เราดู)
8. คนเกาหลีถือว่าใครเสียงดังกว่าเป็นฝ่ายชนะ เมื่อทะเลาะกันใครเงียบถือว่าคนนั้นแพ้ไปโดยปริยาย
9. คนเกาหลีถือว่าการทำศัลยกรรมเป็นเรื่องปกติทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เขาถือว่าเกิดมาชาติเดียวต้องสวยหล่อและดูดีที่สุด (เกาหลีในตอนนี้นับได้ว่าเป็นหนึ่งในเจ้าแห่งการทำศัลยกรรมอีกประเทศนึงไปแล้ว)
10. ผู้ชายเกาหลีไม่ได้ดีเพอร์เฟค เพรียบพร้อมเหมือนในละครเลยสักนิด (กล่าวกันว่าคนที่แต่งหรือประพันธ์บทละครส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เพราะต้องการลบปมในใจของผู้หญิงเกาหลีจึงประพันธ์ให้พระเอกเพอร์เฟคสุดๆ ซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง)

11. ว่ากันว่าผู้ชายเกาหลีส่วนใหญ่จะซาดิสต์ (เขาว่ากันนะ)
12. ถ้าแต่งงานผู้หญิงต้องนับถือญาติฝ่ายชายมากที่สุด มากกว่าญาติของตัวเอง และต้องทำเสมือนตัดขาดจากครอบครัวตัวเองไปเลย และถ้าต้องแต่งงานกับลูกชายคนโตของบ้านจะยิ่งลำบากสุดๆ เพราะเมื่อมีงานรวมญาติ สะใภ้คนโตต้องจัดหาอาหารและเก็บล้างเองหมด
13. คุณป้าคุณยายเกาหลีปากจัดม่ากกกก
14. ภรรยาห้ามเถียงสามีเด็ดขาด
15. คุณเก่งภาษาอังกฤษใช่จะรอดในเกาหลี เพราะคนเกาหลีกลัวภาษาอังกฤษมาก ขนาดวิ่งหนีเลยล่ะ

16. ค่าครองชีพในเกาหลีแพงมาก
17. ผู้ชายเกาหลีส่วนใหญ่หน้าตาไม่ได้หล่อเหมือนที่เราเห็น ส่วนใหญ่จะตาตี่และดูทึ่มๆจืดๆ (เว้นแต่จะไปทำศัลยกรรมมาแล้ว ดูหน้านักบอลทีมชาติดิ)

ป.ลิง ทำไมสาวเกาหลีที่มาประจำที่บริษัทหน้าแม่งไม่สวยเหมือนที่เห็นใน TV เลยวะ? เซ็งอย่างแรง