ads by google

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิธีทำลิ้นให้สะอาด ช่วยลดกลิ่นปาก

วิธีทำลิ้นให้สะอาด ช่วยลดกลิ่นปาก หากท่านต้องการให้ลมปากสะอาดก็ไม่ควรมองข้ามถึงการทำความสะอาดลิ้น!! เนื่องจากลิ้นของเรามีผิวที่ไม่เรียบแต่ขรุขระ ถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับพรมหนาๆที่ถักด้วยเส้นใยผ้า มีซอกเล็กซอกน้อยเต็มไปหมด ดังนั้นลิ้นจึงเป็นที่กักเศษอาหารอย่างดีที่สุด เหมาะที่สุดที่จะให้แบคทีเรียที่ไม่ต้องการออกซิเจนในการเจริญเติบโตอาศัยอยู่ แบคทีเรียเหล่านี้ปล่อยสารพิษที่ทำอันตรายต่อเหงือกและฟัน แล้วยังก่อให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์มีกลิ่นเหม็นเน่า จากการวิจัยพบว่าแบคทีเรียที่มีผลต่อกลิ่นปากมากๆมักจะอยู่ตามโคนลิ้นมากกว่าที่ฟันและเหงือก ก็เป็นคำตอบที่ดีสำหรับหลายท่านที่สงสัยว่า; - ฟันผุก็อุดแล้ว - เหงือกก็ไม่อักเสบ ขูดหินปูนทุก 6 เดือนตามหมอนัด - แปรงฟันหลังอาหารทุกวัน - เสียเงินไปก็มากกับการใช้น้ำยาบ้วนปากหลากหลายชนิด แต่ก็ยังไม่วาย รู้สึกมีกลิ่นปาก ลมหายใจที่ไม่สะอาด...... - ลองมาสังเกตลิ้นของท่านดูว่ามีคราบอาหารจับหรือไม่? - ท่านเคยทำความสะอาดลิ้นหรือเปล่า? การทำความสะอาดลิ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาสุขภาพในช่องปากนอกจากการแปรงฟันและใช้ Dental Floss เพื่อทำความสะอาดซี่ฟัน เราจะทำความสะอาดลิ้นอย่างไร? เดี๋ยวนี้มีอุปกรณ์ทำความสะอาดลิ้นทำจากพลาสติกเป็นรูปตัว U วิธีใช้ให้แลบลิ้นออกมาให้สุด ใช้ไม้ขูดลิ้นขูดจากโคนลิ้นมาด้านหน้า ทำสัก 3-4 ครั้งจะเห็นคราบอาหารติดออกมา เราจะทำวันละ 3 ครั้งต่อวัน ตอนเช้าตื่นนอน หลังอาหารเย็น และก่อนนอน การทำความสะอาดลิ้นอย่างสม่ำเสมอนอกจากจะช่วยลดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นแล้ว ยังมีผลทำให้ลิ้นสามารถรับรสได้ดีขึ้น (วารสารทันตแพทย์สมาคมสหรัฐอเมริกา ธันวาคม 1999) และก็มีข้อมูลที่น่าสนใจในวงการแพทย์ว่ามีความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญว่าแบคทีเรียในช่องปากมีโอกาสทำให้ติดเชื้อและเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ และจากวารสารของสมาคมทันตแพทย์สหรัฐอเมริกาเดือนมีนาคม 2001 ก็ยืนยันว่าก๊าซที่เกิดจากแบคทีเรียในช่องปากมีโอกาสเกิดอันตรายต่อเยื่อหุ้มปอดเช่นกัน การขจัดแบคทีเรียในช่องปากนอกจากจะมีผลดีต่อสุขภาพในช่องปาก ทำให้ลดกลิ่นแล้ว ยังมีผลต่อสุขภาพร่างกายส่วนอื่นด้วย ไม่เพียงพอแล้วสำหรับการแปรงฟัน, การใช้ Dental Floss, หรือน้ำยาบ้วนปาก อย่าลืมทำความสะอาดลิ้นด้วยนะครับ โดย พ.ต.ท.ทพ.พจนารถ พุ่มประกอบศรี ที่มา: www.healthtoday.net

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ผู้ชายเอเชีย 1 ใน 10 เคย "ขืนใจ" ผู้หญิง

ผู้ชายเอเชีย 1 ใน 10 เคย "ขืนใจ" ผู้หญิง ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ คอลัมน์: สรรหา มาเล่า ต้องบอกก่อนว่านี่ไม่ใช่ผลสำรวจที่ทำการสำรวจเก็บข้อมูลในทุกประเทศของภูมิภาคเอเชีย แต่เป็นผลสำรวจใน 6 ประเทศเอเชีย ได้แก่ บังกลาเทศ จีน กัมพูชา อินโดนีเซีย ศรีลังกา และปาปัวนิวกินี โดยสุ่มสอบถามผู้ชายกว่า 10,000 คน ซึ่งพบว่ามีผู้ชาย 1 ใน 10 ที่ยอมรับเคยบังคับขืนใจผู้หญิงที่ไม่ใช่ภรรยาหรือคนรักของตน จากที่ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่า มีผู้หญิงทั่วโลก 1 ใน 3 บอกว่าเคยตกเป็นเหยื่อถูกล่วงละเมิดทางเพศและกระทำทารุณภายในบ้าน แต่มีผลสำรวจล่าสุดนี้ออกมาซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์แลนเซต โกลบอล เฮลธ์ เรเชล จิ๊กส์ จากสถาบันวิจัยทางการแพทย์ของแอฟริกาใต้ หัวหน้าทีมศึกษาทั้งสองโปรเจ็กต์นี้ ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากประเทศออสเตรเลีย อังกฤษ นอร์เวย์ และสวีเดน ถึงกับออกปากว่า "เป็นที่ชัดเจนเลยว่าการกระทำรุนแรงต่อผู้หญิงได้แผ่ขยายในกลุ่มคนทั่วไปมากกว่าที่เราคิด" ทั้งนี้ เรเชลเล่าถึงวิธีเก็บข้อมูลว่า ทีมงานเธอไม่ได้ใช้คำว่า "Rape" หรือ "ข่มขืน" ในแบบสอบถาม แต่ผู้ชายที่เข้าร่วมในการสำรวจนี้จะถูกตั้งคำถามให้ตอบว่าเขาเคยบังคับฝืนใจผู้หญิงให้มีเพศสัมพันธ์กับเขาโดยเธอไม่เต็มใจหรือไม่ หรือเขาเคยบังคับฝืนใจผู้หญิงที่อยู่ในสภาพเมาเหล้าหรือถูกวางยาเพื่อให้มีเพศสัมพันธ์กับเขาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม มีหลายพื้นที่ที่ทีมงานศึกษาสรุปว่ามีผู้ชายราว 6-8% ที่ "ข่มขืน" ผู้หญิงที่ไม่ใช่ภรรยาหรือแฟนของตน แต่เมื่อรวมผู้หญิงที่เป็นภรรยาหรือแฟนเข้าไปด้วย ตัวเลขผู้ชายที่ "ข่มขืน" ผู้หญิงก็ขยับสูงขึ้นอยู่ระหว่าง 30-57% โดยตัวเลขสถิติที่ต่ำสุดคือบังกลาเทศและอินโดนีเซีย ส่วนตัวเลขที่สูงสุดคือปาปัวนิวกินี ขณะที่จากการศึกษาครั้งก่อนพบว่าแอฟริกาใต้มีสถิติการข่มขืนมากที่สุด โดยมีผู้ชายเกือบ 40% ที่เชื่อว่าเคยข่มขืนผู้หญิง ทั้งนี้ ในกลุ่มผู้ชายที่เคยบังคับขืนใจผู้หญิงให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย มากกว่า 70% บอกว่าทำไปเพราะรู้สึกตนเป็นเพศที่เหนือกว่า ขณะที่เกือบ 60% บอกว่าทำไปเพราะความรู้สึกเบื่อหรือต้องการหาความสนุก และมีอยู่ 40% ที่บอกว่าทำไปเพราะโกรธและต้องการลงโทษผู้หญิงคนนั้น สำหรับความรู้สึกสำนึกละอายต่อความผิด มีผู้ชายครึ่งต่อครึ่งที่รู้สึกผิด และมีเพียง 23% ที่ถูกจับได้และได้รับโทษตามกฎหมาย "ปัญหาที่พบนี้น่าตกใจมาก แต่ทุกที่ที่เราสำรวจเราก็จะพบการกระทำรุนแรงต่อผู้หญิง ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนโดยฝีมือสามีหรือคู่รักของเธอ" มิเชล เดคเกอร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิทยาลัยแพทย์จอห์น ฮอฟกินส์ บลูมเบิร์ก กล่าว และว่า "การข่มขืนไม่จำเป็นว่ามีใครเอาปืนมาจ่อหัวผู้หญิง และผู้คนมักจะคิดกันว่าการข่มขืนมักเกิดจากน้ำมือของคนอื่น ไม่ใช่คนในครอบครัว"