ads by google

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

10 วิธี..การคลายเครียดในการทำงาน


10 วิธี..การคลายเครียดในการทำงานสำหรับพนักงานกินเงินเดือนยุคปัจจุบัน สำหรับคนทำงานแล้วมิใช่มีความเครียดเฉพาะปัญหาครอบครัวชีวิตคู่เท่านั้น แต่ปัญหาความเครียดที่ทำงานมันก็ช่างมารุมเร้ารอบตัวเราชวนให้เบื่อหน่ายและ
ปวดหัวจริงๆ สารพันปัญหาความเครียดในการทำงานนั้นมีหลายประการ  ซึ่งเรามักจะเคยได้ยินคนรอบข้างพูดบ่นเปรยว่า “ที่ทำ งานน่าเบื่อ  งานเยอะ..” หรือ “พรุ่งนี้ต้องไป ทำงานอีกหรือเบื่อจัง” หรือ  “หัวหน้าไม่ค่อย ฟังลูกน้อง
10 วิธี..การคลายเครียดในการทำงานสำหรับพนักงานกินเงินเดือนยุคปัจจุบัน สำหรับคนทำงานแล้วมิใช่มีความเครียดเฉพาะปัญหาครอบครัวชีวิตคู่เท่านั้น แต่ปัญหาความเครียดที่ทำงานมันก็ช่างมารุมเร้ารอบตัวเราชวนให้เบื่อหน่ายและปวดหัวจริงๆ สารพันปัญหาความเครียดในการทำงานนั้นมีหลายประการ ซึ่งเรามักจะเคยได้ยินคนรอบข้างพูดบ่นเปรยว่า “ที่ทำ งานน่าเบื่อ
งานเยอะ..” หรือ “พรุ่งนี้ต้องไป ทำงานอีกหรือเบื่อจัง” หรือ “หัวหน้าไม่ค่อย ฟังลูกน้องเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ยิ่งทำงานยิ่งเครียดไปด้วย..” คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเท่านั้น แต่คงมีอีกหลายๆ ข้อความอยู่ในใจของทุกท่านที่อยากจะระบาย
ผู้เขียนก็เลยใคร่ อยากจะเสนอ 10 วิธีการคลายเครียดในการทำงานให้กับท่านผู้อื่นค่ะ
(เอื้อเฟื้อข้อมูลจากแผ่นพับ 10 วิธีการคลายเครียดในการทำงานของกรมสุขภาพจิต)
1. การปรับเปลี่ยนความคิด เลิกการคิดมากคิดวนแบบซ้ำๆ เพื่อจะได้ไม่เครียด
2. ยึดคติ “จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว”
3. การรู้จักยืนยันสิทธิของตน จงอย่าเกรงใจผู้อื่นมากเกินไป
4. รู้จักการตัดสินใจแก้ไขปัญหาอย่างถูกวิธี
5. การบริหารเวลาอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ร่วมงาน
7. การแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสม..รู้จักฝึกควบคุมอารมณ์
8. การพูดอย่างสร้างสรรค์จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน
9. การพักผ่อนหย่อนใจ เข้าร่วมกิจกรรมคลายเครียดต่างๆ
10. การออกกำลังกายเพื่อการคลายเครียด ผ่อนคลายความเมื่อยล้า

เห็น ไหมคะ ว่าถ้าเราปฏิบัติได้ตาม 10 วิธี ความเครียดก็จะเบาบางลงเพราะการรู้จักผ่อนคลายความเครียดเป็นเรื่องสำคัญ
นอกจากจะช่วยคลายเครียดและเสริมสร้างสุขภาพกายจิตที่ดีแล้วยังช่วยประสิทธิภาพในการทำงานของเราให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
“มาคลาย เครียด..ในที่ทำงานกันเถอะ” 

Reff :: SPU.ac.th 

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

มะเร็งของอัณฑะ

                                            มะเร็งของอัณฑะ
ข้อมูลทั่วไปของมะเร็งอัณฑะ
            1.เป็นมะเร็งที่เกิดจากเนื้อเยื่อในอัณฑะ แบ่งเป็น ชนิดเซมิโนมา และชนิดไม่ใช่เซมิโนมา
            2.เซมิโนมาจะมีการพยากรณ์โรคดีกว่า และตอบสนองต่อรังสีได้ดีกว่าไม่ใช่เซมิโนมา
            3.ชนิดไม่ใช่เซมิโนมา จะมีการเจริญและแพร่กระจายได้เร็วกว่าเซมิโนมา
            4.ประวัติที่บ่งชี้ว่าอาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งอัณฑะ
                -ลูกอัณฑะไม่ลงถุงอัณฑะ (ทองแดง)
                -มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งอัณฑะ
                -เป็นโรคกลุ่มอาการไคลน์เฟลเตอร์
                -เป็นชาวผิวขาว
อาการที่อาจบ่งชี้ว่าเป็นมะเร็งอัณฑะ
            -คลำได้ก้อน ไม่เจ็บในถุงอัณฑะ
            -ปวดหน่วง ๆ บริเวณหัวหน่าว หรือขาหนีบ
            -มีน้ำในถุงอัณฑะขึ้นมาอย่างฉับพลัน
            -ปวดในถุงอัณฑะ
การตรวจและวินิจฉัยมะเร็งอัณฑะ
            1.การตรวจร่างกาย
            2.อัลตราซาวด์
            3.การเจาะเลือดเพื่อดูสารบ่งชี้ในเลือด เช่น alpha-fetoprotein, beta-hCG, LDH

ระยะต่าง ๆ ของมะเร็งอัณฑะ

            ระยะที่ 0 : พบเซลล์ผิดปกติในท่อที่สร้างอสุจิในอัณฑะ
            ระยะที่ 1: -1A:มะเร็งอยู่เฉพาะเนื้อเยื่อชั้นในของอัณฑะ สารบ่งชี้ในเลือดยังปกติ
                           -1B:มะเร็งเริ่มกระจายไปที่เส้นเลือด ท่อน้ำเหลืองภายในอัณฑะ
                            หรือไปที่เนื้อเยื่อชั้นนอกของอัณฑะหรืออยู่ในเสปอมาติกคอร์ด 
                            หรือถุงอัณฑะ สารบ่งชี้ในเลือดปกติ
                           -1S:เหมือนระยะ 1B แต่สารบ่งชี้ในเลือดเริ่มสูง
            ระยะที่ 2 : -2A : มะเร็งอยู่ที่อัณฑะหรือสเปอร์มาติกคอร์ดหรือถุงอัณฑะ
                            และกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองในท้อง 5 ต่อม ซึ่งมีขนาดไม่เกิน 2 cm
                            สารบ่งชี้ปกติหรือสูงเล็กน้อย
                           -2B : มะเร็งอยู่ที่อัณฑะหรือสเปอร์มาติกคอร์ดหรือถุงอัณฑะ และกระจาย 
                            ไปที่ต่อมน้ำเหลืองในท้อง 5 ต่อม และอย่างน้อยหนึ่งต่อมมีขนาดใหญ่กว่า 2 cm 
                            แต่ไม่เกิน 5 cm หรือกระจายไปต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องมากกว่า 5 ต่อม โดยมี
                            ขนาดไม่เกิน 5 cm สารบ่งชี้ปกติหรือสูงเล็กน้อย
                           -2C : มะเร็งอยู่ที่อัณฑะหรือสเปอร์มาติกคอร์ดหรือถุงอัณฑะ และกระจาย 
                            ไปที่ต่อมน้ำเหลืองในท้องมีขนาดใหญ่กว่า 5 cm. สารบ่งชี้ปกติหรือสูงเล็กน้อย
            ระยะที่ 3 : -3A : มะเร็งอยู่ที่อัณฑะหรือสเปอร์มาติกคอร์ดหรือถุงอัณฑะ และอาจ 
                            แพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องหรือที่อื่น ๆ และที่ปอด 
                            สารบ่งชี้ปกติหรือสูงเล็กน้อย
                           -3B : มะเร็งอยู่ที่อัณฑะหรือสเปอร์มาติกคอร์ดหรือถุงอัณฑะ และอาจ 
                            แพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องหรือที่อื่น ๆ และที่ปอด สารบ่งชี้ปกติถึงสูง
                           -3C : มะเร็งอยู่ที่อัณฑะหรือสเปอร์มาติกคอร์ดหรือถุงอัณฑะ และอาจ 
                            แพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องหรือที่อื่น ๆ และที่ปอด สารบ่งชี้สูงถึงสูงมาก

การรักษามะเร็งอัณฑะ

            ระยะที่ 1 : ใช้การผ่าตัดอัณฑะ อาจร่วมกับการเลาะต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องและอาจให้ยาเคมี 
            บำบัดในกลุ่มที่มีโอกาสกลับเป็นซ้ำสูง และติดตามโรคในระยะยาว
            ระยะที่ 2 : ใช้การผ่าตัดอัณฑะร่วมกับการเลาะต่อมน้ำเหลืองหรือฉายรังสีที่ต่อมน้ำเหลือง
            ในช่องท้อง ร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด และติดตามโรคในระยะยาว
            ระยะที่ 3 : ใช้การผ่าตัดอัณฑะตามด้วยการให้ยาเคมีบำบัด 

โรคและความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับระบบต่อมไร้ท่อ


โรคเอแอลเอส

            โรคเอแอลเอส (Amyotrophic Lateral Sclerosis) หรือโรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อมถอย เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อของร่างกายที่อยู่ภายใต้อำนาจของจิตใจ เซลล์ประสาทที่เกิดการเสื่อมสลายดังกล่าวอยู่ที่ส่วนหน้าของไขสันหลังและเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมสั่งการ โรคนี้พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง พบในคนผิวขาวมากกว่าคนผิวดำ ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง และเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้ป่วยพูด กลืน และหายใจลำบาก

สาเหตุของโรค

            ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่ถ้าคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ก็จะถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ปัจจุบันเชื่อว่าสาเหตุของโรคนี้เกิดจากกลไกภูมิคุ้มกันต่อตนเองผิดปกติ (Autoimmune Attack) หรือเกิดจากกลไกอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ทำลายเซลล์ประสาทของตนเอง อีกทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่าการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทในสมองและไขสันหลังเกิดจากสารสื่อนำกระแสประสาทที่เรียกว่า กลูตาเมท (Glutamate) กระตุ้นให้เกิดการทำลายเซลล์

อาการของโรค

            ผู้ป่วยโรคเอแอลเอส มักมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งที่ต้นแขน มือ ขาทั้ง 2 ข้าง โดยจะรู้สึกเมื่อยล้า ยกแขนไม่ขึ้น หยิบจับของไม่ถนัด ใส่รองเท้าแตะแล้วหลุดง่าย ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกปวดโดยไม่พบสาเหตุ ก่อนหน้าจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นเวลานาน ผู้ป่วยอาจมีอาการกลืนลำบาก สำลักง่าย หรือพูดไม่ชัด ผู้ป่วยอาจสังเกตเห็นว่ากล้ามเนื้อที่อ่อนแรง ฝ่อลีบ และกล้ามเนื้อหลายตำแหน่งอาจเต้นพลิ้วเป็นระยะตลอดวัน ผู้ป่วยยังสามารถกลอกตาไปมาและควบคุมกล้ามเนื้อหูรูดได้ จึงกลั้นอุจจาระและปัสสาวะได้ ผู้ป่วยจะไม่มีอาการชา และมีสติดีตลอดระยะเวลา

การรักษา

            ให้ยาไรลูโซน (Riluzole) 50 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดการทำลายเซลล์ประสาท ไขสันหลังและสมอง โดยยานี้จะช่วยยืดอายุของผู้ป่วยออกไปประมาณ 3-6 เดือน และไม่ได้ทำให้อาการอ่อนแรงดีขึ้นหรือหยุดยั้งการดำเนินของโรคได้ การรักษาอื่นๆ ได้แก่ การรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาแก้ไขอาการท้องผูก ยาลดน้ำลาย การทำกายภาพบำบัด การฝึกพูด ฝึกกลืน ใส่สายยางเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถกลืนอาหารได้ และการให้ออกซิเจนเมื่อผู้ป่วยเหนื่อย เป็นต้น 


ที่มา ebook on maceducation.com/e-knowledge/2504209100/01.htm

การสร้างกุศลผลบุญให้แก่ตัวเอง


หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
การสร้างกุศลผลบุญให้แก่ตัวเองนั้น มีหลักปฏิบัติอยู่ ๓ ประการคือ ทาน ศีล ภาวนา

การที่จะมีทานได้นั้น ถ้าเรามีการปฏิบัติธรรมด้วยแล้ว จะเกิดทานอันเป็นส่วนกุศล

ภาวนากุศล คือ ภาวนาให้มันผุดขึ้นมาจากดวงใจใสสะอาด

การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น เป็นการสร้างกุศลอันดับหนึ่ง จะเป็นที่พึ่งของตนเองได้ ท่านจะมีกุศลจิตที่ดี เพราะเจริญจิตภาวนา มีสติสัมปชัญญะดีแล้ว มันจะผุดออกมาจากดวงใจของเรา

ภาวนากุศลทำให้จิตสบาย ทำให้เรามีสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้าได้ นึกถึงความดีขึ้นมาก็ทำให้เรามีสติมั่นคง มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย จิตใจสงบ กุศลอยู่ตรงนี้

หลังจากสวดมนต์ไหว้พระ น้อมจิตเข้ามาหาตน ทำให้น้อมเข้ามาหาคุณงามความดี จิตเราย่อมเป็นกุศล เจริญวิปัสสนากรรมฐานจะได้รับผล อานิสงส์จะเกิดขึ้นจากการกระทำของตน อันนี้ยากมากที่สุด ยากอยู่ที่เราไม่เคยทำ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันธรรมสวนะ ควรหาโอกาสอันเป็นประโยชน์ของท่านมาสร้างบุญ สร้างกุศล เจริญวิปัสสนากรรมฐานให้เกิดบุญ เกิดความสุข

ถ้าเรามีความทุกข์อยู่ขณะนั้น ควรเจริญสติปัฏฐาน ๔ จิตใจก็สบายเป็นความสุข จะได้รู้ความทุกข์ว่ามาจากเหตุใด มีการกำหนดจิตทุกอิริยาบถ แต่ยากแท้...ที่ไม่เคยทำ ถ้าทำแล้วจะง่ายขึ้น

คนเราจะมีกุศลได้ ต้องภาวนาให้ใจใสสะอาดออกมาจากดวงใจ จะมีเมตตา ปรารถนาดีต่อทุกคน จะไม่อิจฉาริษยาแต่ประการใด นี่ก็เป็นทานอันสำคัญ ที่เราพยายามเสียสละความชั่วออกจากตัวได้



ที่มา dhammajak

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

เศรษฐีนีทำงานกวาดขยะ


ทึ่ง!'เศรษฐีนี'ทำงานเป็นคนกวาดขยะ

7 ม.ค. 56 ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์ค ในจีนแผ่นดินใหญ่ กำลังให้ความสนใจนางหยู โหยวเจิ้น ซึ่งมีฐานะระดับเศรษฐีนี แต่ไม่ยอมใช้ชีวิตสุขสบาย กลับทำงานเป็นคนกวาดขยะ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกๆ ของเธอ


ช่วงทศวรรษที่ 1980 นางหยูและสามียังเป็นชาวสวนผัก และต้องทำงานตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงกลางคืน เพื่อหาเงินและอดออมไว้ จนกลายเป็นครอบครัวแรกในหมู่บ้านที่สามารถสร้างตึกขนาด 3 ชั้น ในหมู่บ้านฮั่วเจียหว่าน เมืองอู๋ฮั่น เมื่อมีคนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาทำงานในเมืองมากขึ้น นางหยูก็แบ่งห้องในตึกของเธอให้คนเช่า ต่อมาต้นทศวรรษที่ 1990 ห้องพักทำเงินให้เธอห้องละ 50 หยวน หรือราว 250 บาทต่อเดือน เมื่อเก็บเงินได้มากพอ เธอก็สร้างตึกเพิ่ม และขยายชั้นให้มากขึ้น ซึ่งในเวลาหลายปีต่อมา เธอมีตึก 5 ชั้น 3 หลัง และให้คนเช่า


นางหยู บอกว่า เมื่อปี 2541 ได้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน รัฐบาลได้ออกนโยบายพัฒนาที่ดิน

ซึ่งเมื่อประเมินราคาตึกที่ต้องถูกทุบแล้ว เธอได้รับการชดเชยเป็นอพาร์ทเม้นท์ 21 แห่ง หลังจากนั้น เธอขายไป 4 แห่ง เหลืออีก 17 แห่ง จากราคาตลาดของอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ พบว่า นางหยู คือ เศรษฐีนีเงินล้านตัวจริง แต่เธอก็ยังจับไม้กวาดไปกวาดถนนหน้าตาเฉย


ปัจจุบัน นางหยูยังคงเป็นเศรษฐีนี แต่เธอกลับภาคภูมิใจที่ได้เป็นพนักงานทำความสะอาดของสำนักงานเขตเฉิงกวง ในเมืองอู๋ฮั่น

กับค่าจ้างเพียงเดือนละ 1,420 หยวน หรือ 7,100 บาท มีวันหยุดแค่สัปดาห์ละ 1 วัน และต้องตื่นไปทำงานตั้งแต่ตี 3 รับผิดชอบกวาดขยะบนถนน ความยาวกว่า 3,000 เมตร เธอใช้เวลาไปกับการเก็บกวาดวันละ 6 ชั่วโมง รวมถึงการเช็ดล้างถังขยะ 8 ใบ ยิ่งถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว และมีคราบน้ำแข็งบนถังขยะด้วยแล้ว เธอต้องใช้ผ้าเปียกเช็ดมันออกด้วย และเธอยังคงถ่อมตัว ในยามทำงาน ผู้คนมักจะมองเธอด้วยสายตาเย็นชา แต่เธอก็ยังรักในสิ่งที่ทำ เพื่อนร่วมงานหลายคนไม่เข้าใจว่า เธอแสนจะร่ำรวย ทำไมเธอยังมาทำงานต่ำต้อยแบบนี้นางหยู ได้อธิบายเรื่องนี้ว่า เธอต้องการทำตัวให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกชายและลูกสาว

"คนเราไม่ควรจะนั่งอยู่เฉยและใช้จ่ายทรัพย์สินให้หมดไป"

นางหยู เล่าว่า ได้เห็นกับตาตัวเอง ที่เพื่อนบ้านบางคนได้รับการชดเชยแล้ว กลับมั่วสุมอยู่แต่ในบ่อนการพนัน หรือใช้ยาเสพติด

จนทรัพย์สินที่ได้มาหมดไป เธอยื่นคำขาดต่อลูกชายและลูกสาวไว้แล้วว่า ถ้าไม่ยอมทำงาน จะบริจาคอพาร์ทเม้นท์ทั้งหมดให้รัฐ ปัจจุบันนี้ ลูกชายของเธอทำงานเป็นคนขับรถอยู่ที่ ตงฮู ซีนนิค แอเรีย ได้เงินเดือนๆ ละ 2 พันหยวน หรือราว 1 หมื่นบาท ส่วนลูกสาวทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศ มีรายได้เดือนละ 3 พันหยวน หรือราว 15,000 บาท

คม ชัด ลึก
teenee