ads by google

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คนจากไปมากขึ้นทุกวัน คนที่เหลืออยู่จึงสำคัญยิ่งขึ้น

คนจากไปมากขึ้นทุกวัน คนที่เหลืออยู่จึงสำคัญยิ่งขึ้น
เรื่องเกิดในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอเมริกา
ใกล้เวลาเลิกเรียน อาจารย์ได้ถามนิสิตว่า “ ครูมีเกมจะเล่นกับพวกเรา ต้องการอาสาสมัครหนึ่งคน"
นิสิตหญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนเวที
อาจารย์กล่าว “ ช่วยเขียนชื่อคนที่เธอรักและหวงแหนที่สุดยี่สิบชื่อลงบนกระดาน”
นิสิตหญิงทำตาม  มีทั้งเพื่อนบ้าน เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องฯลฯ
อาจารย์กล่าว “ช่วยขีดชื่อที่คิดว่าสำคัญน้อยที่สุดออกไปหนึ่งชื่อ”
เธอได้ขีดชื่อเพื่อนบ้านออกไปหนึ่งคน
อาจารย์กล่าวต่อ “ช่วยขีดออกไปอีกหนึ่งชื่อ"
หล่อนก็ขีดชื่อเพื่อนร่วมงานออกไปอีกหนึ่งชื่อ
อาจารย์ย้ำคำเดิม “ขออีกหนึ่งชื่อ”
เธอก็ขีดต่อไปอีกหนึ่งชื่อ........
สุดท้ายบนกระดานเหลือชื่ออยู่เพียงสามกลุ่มคือ ชื่อพ่อและแม่ ชื่อสามี และชื่อลูก
ทั้งห้องสงบนิ่ง ทุกคนจ้องมองไปที่อาจารย์อย่างแน่นิ่ง ความรู้สึกไม่เหมือนเล่นเกมอีกต่อไป
อาจารย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและราบเรียบ “ขีดทิ้งอีกหนึ่งชื่อ”
นิสิตมีอาการลังเล รู้สึกยากที่จะปฏิบัติตาม
และแล้วเธอก็ตัดสินใจขีดชื่อพ่อและแม่ออกไป
“ขออีกชื่อสุดท้าย” เสียงอาจารย์ร้องขอตามมาติดๆ
เธอยืนตัวสั่นเทาพร้อมสีหน้าที่หวาดหวั่น แต่สุดท้าย ก็ตัดสินใจอย่างเสียไม่ได้ที่ขีดเอาชื่อของลูกออกไป ทันใดนั้นเธอได้ร้องไห้ออกมาด้วยเสียอันดังและเจ็บปวด
จนเมื่อเธออารมณ์เริ่มสงบลง อาจารย์จึงถามเธอว่า “คนที่สนิทชิดเชื้อกับเธอที่สุดน่าจะเป็นพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า และลูกที่เราคลอดออกมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของเรามิใช่หรือ ส่วนสามีเป็นคนนอกที่ที่ห่างออกไป อาจหาใหม่เมื่อไรก็ได้ ทำไมเธอจึงกลับเลือกสามีไว้เป็นคนสุดท้ายละ?”
เพื่อนร่วมชั้นพุ่งสายตาไปที่เธออย่างใจจดใจจ่อ รอคอยคำตอบจากเธอ
นิสิตหญิงตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบอย่างช้าๆ “ด้วยเงื่อนไขของเวลา พ่อแม่คงจะจากเราไปก่อน ส่วนลูกนั้น เมื่อเขาโตขึ้น เขาก็คงต้องจากไปเพื่อดูแลชีวิตของเขาเอง คนที่เหลืออยู่กับเราจนวาระสุดท้ายเมื่อยามชราก็คงต้องเป็นสามีของเรา”
ความจริงมิตรภาพ ความกตัญญู ความรักของบุพการี และความรักของสามีภรรยาเป็นความรู้สึกที่แตกต่าง มีมิติที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาวะและมุมมองของแต่ละคนในแต่ละสถานการณ์
การตัดสินใจในมุมมองของนิสิตน่าจะถูกต้องแล้ว จงรักและถนอมคนที่อยู่เคียงข้างคุณตลอดมา เพราะเขาจะอยู่เป็นเพื่อนคุณไปจนถึงนาทีสุดท้ายแห่งชีวิต
“สุขเมื่ออยู่ร่วม ทุกข์เมื่อจากลา เปรียบดังข้างขึ้นข้างแรมของจันทราบนท้องฟ้า ที่เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณกาล ขอให้คนที่รักกันจงสุขสมสโมสร ขอทุกคู่ครองจงอยู่คู่กันตราบชั่วฟ้าดินสลาย”
ขอให้รักและถนอมคนที่อยู่เคียงข้างคุณตลอดไป

สุนัขอินเดียเฝ้าหลุมศพเจ้านาย

ภาพในบรรทัด 1
สุนัขอินเดีย เฝ้าหลุมศพเจ้านายที่ตาย ไม่ยอมไปไหน

สุนัขอินเดียนั่งเฝ้าหลุมศพเจ้านายที่ตายโดยไม่ไปไหนตลอดเวลา 15 วัน และไม่ยอมกินอาหารแม้มีคนนำมาให้

เป็นที่รู้กันว่าสุนัขคือสัตว์ที่รักเจ้านายมาก ซึ่งล่าสุดที่อินเดียก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ทั้งซาบซึ้งและสะเทือนใจ เมื่อสุนัขตัวหนึ่งเกือบตรอมใจตาย เพราะมันไม่ยอมกินข้าว-กินน้ำตลอดเวลา 15 วัน เพื่อปกป้องหลุมศพของเจ้านาย!!!!

โดยเรื่องชวนน้ำตาไหลนี้เกิดขึ้นหลังจากที่หนุ่มน้อย Bhaskar Shri วัย 18 ประสบอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิต และนับจากวันที่ศพของเขาถูกเอามาฝัง เจ้าสุนัขคู่ใจที่ชื่อว่า Tommy ก็ไม่เคยเอาตัวของมันออกห่างกองทรายแห่งนั้นอีกเลย

ซึ่งที่เกิดเหตุนี้ขึ้นเพราะทั้งสองผูกพันกันมาก โดย Bhaskar Shri ได้เลี้ยง Tommy ตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน และเจ้าหมาน้อยก็รักเขามาก ถึงขั้นที่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้านายไปทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้าง เจ้ามะหมาก็จะขอติดตามไปด้วยและเฝ้าเขาแบบไม่มีห่าง

ฉะนั้นเมื่อเจ้านายหมดลมหายใจ มันก็จึงคิดจะตรอมใจตายไปด้วย ซึ่งมันอดข้าว อดน้ำ อยู่อย่างนั้นนานถึง 2 สัปดาห์ จนร่างกายซูบผอมและดูอ่อนแรงมากขึ้นทุกที จนในที่สุดองค์กรพิทักษ์สัตว์ก็มาพบมันเข้า แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเอาอาหารให้ยังไง มันก็ไม่ยอมแตะแม้แต่น้อย

นั่นทำให้องค์กร Blue Cross of India ต้องออกตามหาใครสักคนที่รู้จักเจ้าหมาตัวนี้ เพราะบางทีสุนัขจะยอมรับอาหารจากคนที่มันผูกพันเท่านั้น แล้วโชคชะตาก็เข้าข้าง เมื่อทางองค์กรได้พบกับแม่ของ Bhaskar ที่อยู่ต่างเมือง จากนั้นเมื่อคุณแม่รายนี้มาถึงหลุมศพ เจ้าหมาก็วิ่งเข้าหาและใช้ลิ้นเลียเธอทันที

ซึ่งนั่นทำเอาคุณแม่ถึงกับน้ำตาซึมและบอกว่า “นับจากนี้ฉันจะขอรับเลี้ยงเจ้า Tommy ต่อเอง เพราะมันทำให้ฉันนึกถึงลูกชาย” ส่วนเจ้าหน้าที่ขององค์กรก็ได้ทิ้งท้ายว่า “พวกเราเชื่อว่า…หากคุณแม่และเจ้าหมาตัวนั้นได้อยู่ด้วยกัน บาดแผลในใจจากการสูญเสียคนรักจะต้องทุเลาลงอย่างแน่นอน”


เศรษฐีอังกฤษใจพระ

เศรษฐีอังกฤษใจพระ ขายสมบัติทุกอย่าง เข้าช่วยเหลือคนจรจัดในจีนนานกว่า 7 ปี
...โทนี่ หนุ่มใหญ่ชาวอังกฤษวัย 46 ปี อดีตเป็นวิศวกรอิเล็กทรอนิคส์ของกองทัพเรือในสหราชอาณาจักร หลังจากที่เขาลาออกจาทหารเขาเปิดบริษัท 3 แห่ง เป็นเจ้าของคฤหาสน์หรู รถสปอร์ต 2 คัน เมื่อปี 2002 จู่ๆ 
...โทนี่พูดขึ้นว่าเขาเบื่อหน่ายชีวิตที่วุ่นวาย จึงตัดสินใจขายสมบัติทั้งหมด ไม่ว่าบ้าน รถ แม้แต่บริษัททั้ง 3 แห่ง และออกจากอังกฤษเพื่อออกท่องเที่ยวรอบโลก

...โทนี่มีสองจุดประสงค์ คือ ต้องการช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และ เป็นสื่อกลางสำหรับผู้ต้องการจะช่วยเหลือคนด้อยโอกาส บางคนบอกกับเขาว่า "คุณไม่ควรช่วยเหลือคนพวกนี้ (คนจรจัด) เพราะพวกนี้มีบ้านและรถในบ้านเกิด"

...และโทนีก็ตอบกลับให้แก่คนเหล่านั้นว่า "เราไม่สามารถตัดสินได้ว่าคนจรจัดเหล่านั้นเขาจะเป็นคนจรจัดจริงหรือไม่ แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่เป็นคนจรจัดจริง และการที่เรา่ช่วยเหลือเขาทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีคุณค่า" ...โทนีใช้สำนวนจีนในความหมายว่า "จงอย่ามองโลกในแง่ลบ"

..สุดยอดจริงๆเลย..คุณโทนี "ความดี ไม่มีขาย...ยิ่งทำยิ่งดียิ่งได้"

ความเชื่อ...รู้ไว้ไม่เสียหาย

ความเชื่อ...รู้ไว้ไม่เสียหาย
"ความเชื่อ" มีอยู่ในตัวคนเราทุกคน บ้างก็เชื่อว่าผีมีจริง วิญญาณมีจริง เชื่อเรื่องดวง เรื่องเคล็ด และก็เชื่อเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย แล้วแต่ตัวบุคคลว่าผูกพันหรือคุ้นเคยกับสิ่งไหนมามากกว่า
เอาล่ะ เข้าเรื่องเลยดีกว่า วันนี้เรามีเรื่องดีๆ มาฝากคนที่เชื่อเรื่อง "เคล็ดเสริมดวง" ใครอยาก
โชคดีพลาดไม่ได้เด็ดขาด... (เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ)

กระเป๋าสตางค์
กระเป๋าสตางค์ใบใหม่เสมอในวันขึ้นปีใหม่ ใส่เงินจำนวน 900 หรือ 9,000 ในกระเป๋าไว้สักวัน หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เพื่อเอาเคล็ดเอาฤกษ์เพื่อให้กระเป๋าใบนั้นเป็นกระเป๋าที่ดี
เรียกเงินเรียกทอง เข้ากระเป๋าได้มาก มีเก็บมากกว่าจะต้องควักออกไป และทุกครั้งที่รับเงินสดเข้า มา ควรนำเงินมาใสjกระเป๋าเอาไว้ก่อน บางคนอาจจะยังคงปล่อยเงินไว้ในซองแล้วก็นำไปฝากธนาคาร ซึ่งถ้าจะเอาเคล็ดเรียกโชคกันจริงๆ ตามความเชื่อของคนเฒ่าคนแก่ ก็ควรเอาเงินเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ก่อน

พระสิวลี
หาโอกาสไปกราบไหว้พระสีวลีที่วัดใดก็ได้ในท้องที่ที่อาศัย พระสีวลีเป็นเอตทัคคาโชคลาภ
ท่านเป็น 1 ใน 80 ศิษย์เอกของพระพุทธเจ้า เมื่อไปกราบไหว้ขอพรจากพระสีวลี ชีวิตจะมีโชคดีขึ้น
และมีความราบรื่นก้าวหน้า มีเงินมีทองเพิ่มพูนมากขึ้น

ยักษ์และราหู
ไม่ควรมีรูปภาพ หรือรูปปั้นยักษ์และราหูประดับตกแต่งในบ้าน เพราะจะทำให้คนในบ้าน
ทะเลาะเบาะแว้งกัน มีแต่เรื่องร้อนๆ ขาดโชคขาดลาภ พลังของวิญญาณ อย่านำโปสเตอร์ รูปภาพ หนังผี คนบาดเจ็บจากนิตยสารที่มีแต่ความน่ากลัวมาติดผนังบ้าน หรือรูปคนตายมาติดประดับไว้ที่ห้อง (ยกเว้นภาพถ่ายบุคคลในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้ว) หลีกเลี่ยงภาพน่ากลัว หรือดูดุร้าย เพราะล้วนเป็นแหล่งเรียกคลื่นพลังงานที่ไม่เป็นมงคล จะทำให้โชคลาภหดหาย คนในบ้านจะมีแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น เกิดอุบัติเหตุ การนำภาพมาติดผนังประดับบ้านควรเลือกภาพที่ดูสวยงาม

เตียงนอน
อย่าตั้งเตียงนอนโดยเอาหัวเตียงหันไปชนกับผนังห้องน้ำ เพราะจะทำให้เสื่อมโชคอับโชค
อย่าตั้งเตียงนอนโดยหันปลายเตียงเล็งตรงกับประตูทางเข้าพอดี เพราะจะทำให้ฝันร้ายและอับโชค

สุนัข แมวจรจัด
แบ่งอาหารและน้ำให้แก่สุนัข หรือแมวจรจัดที่หิวโหยบ้าง ในวันฝนตกก็อนุญาตให้สัตว์จรจัด เข้ามาหลบฝนในชายคาบ้าน การทำบุญทำทานกับสัตว์นั้นให้อานิสงส์ผลบุญแก่ตัวเราได้อย่างมหาศาล

ห้องครัว
ดูแลปัดกวาดเช็ดถูและจัดข้าวของเครื่องใช้ในครัวให้สะอาดอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ครัว
สกปรก เพราะครัวเป็นขุมพลังของบ้าน บ้านที่ปล่อยให้ครัวสกปรกจะอับโชค เงินทองหามาได้ก็ต้องจ่ายออกไป เจริญรุ่งเรืองช้านัก
                              ผ้าเช็ดหน้า
อย่าให้ของขวัญคนรัก หรือเพื่อนสนิทเป็นผ้าเช็ดหน้า เพราะถือว่าเป็นลางไม่ดี ถือเป็นของ
ขวัญอับโชค มอบให้กันแล้วจะมีเรื่องต้องพลัดพรากจากกัน หรือมีเรื่องต้องเมินหมางห่างเหินกันไป

กระจก
ขัดถูกระจกในบ้านให้สะอาดใสอยู่เสมอ ถ้าปล่อยให้กระจกขุ่นมัวเป็นประจำ ดวงชะตาของคนในบ้านจะหม่นหมองทำอะไรไม่ขึ้น

วันบริสุทธิ์
วันที่ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก คือ วันโกน วันพระ วันเกิด และวันเข้าพรรษา
ตามธรรมเนียมโบราณนิยมปฏิบัติกันเช่นนี้ เพื่อให้เทวดาคุ้มครองรักษาตลอดไป

เหรียญนำโชค
เมื่อเจอเงินตกอยู่ตามทางเดิน แม้จะเป็นเพียงเหรียญบาทก็ให้เก็บเอาไว้ ให้ถือเสมือนเป็นเหรียญนำโชค
การเดินผ่านเลยไป เพราะเห็นว่าเป็นเพียงเหรียญบาท เหรียญสลึงนั้น ถือเป็นการดูถูกเงินทอง ไม่เห็นคุณค่าของเงิน คนเฒ่าคนแก่เชื่อกันว่ามันจะทำให้คุณอับโชคทั้งวัน หรือในช่วง 3 - 7 วันนั้น

แหวนเสริมดวง
เลือกสวมแหวนที่ถูกโฉลกกับเดือนเกิด หรือวันเกิดเพื่อเสริมโชคดีให้ชีวิต
ถ้าอยากเสริมดวงการเงิน  - ควรสวมแหวนทอง แหวนเงิน แหวนหยก และแหวนหัวพลอยสีที่ถูกโฉลก
ถ้าอยากเสริมดวงความรัก - ให้สวมแหวนรูปหัวใจ รูปดาว เลือกแหวนเพชร หรือเทอร์ควอยส์ก็ได้
วนแหวนลูกปัดและหินสีต่างๆ - จะช่วยเสริมดวงเสน่ห์

การสวมแหวน
สวมแหวนนิ้วกลางขวา - เสริมดวงการเงินและบารมี
สวมแหวนนิ้วนาง นิ้วก้อย - เสริมเสน่ห์ และเสริมดวงความรัก

ทำบุญโลงศพ
ไปที่มูลนิธิใกล้บ้าน ทำบุญบริจาคเงิน ร่วมกันซื้อโลงศพให้ศพอนาถาที่ไร้ญาติ การทำบุญโลง
ศพ จะช่วยเสริมดวงชะตาให้กล้าแข็ง เหมาะสำหรับช่วงดวงอ่อน และมีทุกข์มีเคราะห์

พระพรหมศักดิ์สิทธิ์
หาโอกาสไปกราบไหว้พระพรหมสักครั้ง ถ้าอยู่ที่กรุงเทพ ก็ไปไหว้ที่หัวมุมสี่แยกราชประสงค์
โรงแรมเอราวัณก็ได้ หรือที่ศาลพระพรหมแห่งใดก็ได้ทั้งนั้น พระพรหมเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวขวัญกันมากว่า บนบานอธิษฐานขออะไรมักได้ดังปรารถนา ด้วยว่าท่านเป็นเทพแห่งความสำเร็จนั่นเอง

หิ้งพระ
หิ้งพระ หรือหิ้งบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเทพต่างๆ หรือ ร.5, ในหลวงของเรา เมื่อตั้งหิ้งบูชาแล้วจะต้องหมั่นดูแลรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ หมั่นเปลี่ยนดอกไม้ พวงมาลัย
ถวายน้ำสะอาด ถ้าปล่อยให้หิ้งสกปรก มีแต่ฝุ่นจับเต็มไปหมด บ้านนั้นจะมีแต่ความเสื่อมถอย โชคลาภหดหาย ยากที่จะเจริญรุ่งเรือง

ไข่ และ ส้ม
ในบ้านเรือนควรมีไข่ และมีส้มไว้ในตะกร้าเสมออย่าให้ขาด เพื่อเรียกความสมบูรณ์พูนสุขเข้าบ้าน ทำให้ชีวิตอยู่ดีมีสุขตลอดไป
ไข่และส้มเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความโชคดี

สวมหมวกแทนดีกว่ามั้ย

สมชาย ชายหนุ่มผู้หลงไหลรองเท้าบูทเป็นชีวิตจิตใจ
วันนึง ไปเจอบูทแบบคาวบอยเท่ห์มากที่ตลาดนัดในหมู่บ้าน เขาตกลงซื้ออย่างรวดเร็ว แล้วก็สวมใส่มันทันที จากนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่อง เดินกลับบ้าน
ขณะนั้น สุมาลี ภรรยาผู้เลอโฉม กำลังยืนทำกับข้าวเย็นอยู่ในครัวสมชาย ร้องตะโกนถามขึ้นว่า
"ที่รักลองหันมาดูซิจ๊ะ ว่าตัวฉันมีอะไรเปลี่ยนไป"
สุมาลี ชำเลืองมองแล้วก็ตอบว่า "ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนเลย"สมชาย ขุ่นข้องหมองใจมาก จ้ำพรวดเข้าไปในห้องนอน เมื่อเขาออกมาอีกครั้งหนึ่ง ก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า แต่ยังสวมรองเท้าบูทคู่ใหม่อยู่
"ที่รัก" สุขสมร้องเรียกภรรยา "ลองดูอีกทีซิว่า ตัวฉันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง"
ด้วยความรำคาญเป็นอย่างยิ่ง สุมาลีชำเลืองมองด้วยหางตา แล้วก็ตอบอย่างมีอารมณ์ว่า
"ก็เห็นเหมือนเดิมแหละ เมื่อวานมันห้อย วันนี้มันก็ห้อย แล้วพรุ่งนี้มันก็ยังห้อยอยู่"
สมชาย สวนขึ้นว่า
"ที่มันห้อยเพราะ มันกำลังชื่นชมรองเท้าบูทคู่ใหม่ของชั้นไง"

สุมาลี ตะโกนขึ้นสุดเสียงว่า

"ที่รัก คุณเอาบูทไปคืน แล้วเปลี่ยนเป็นหมวกดีกว่ามั้ง มันจะได้เงยหน้าขึ้นมาบ้าง"

วิธีเลือกหุ้นส่วนให้ถูกคน

     การหาคนเข้ามาร่วมทำงาน หรือเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจนั้น ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะคนที่เข้ามาร่วมทำงานอาจจะช่วยให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น หรือไม่ก็ทำให้เราล่มจมเอาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะในตำแหน่งงานที่มีความสำคัญ 
     
     การรู้วิธีเลือกคน จึงเป็นสิ่งที่นักบริหารจะต้องมีวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้ วิธีเลือกคนแบบไม่ต้องใช้หลักวิชามาก คนสมัยก่อนจะใช้วิธีดูจากตัวเองเป็นหลัก ดูว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน (นิสัย) มีความถนัดเรื่องอะไร ไม่ถนัดเรื่องอะไร การหาคนมาเป็นหุ้นส่วนจะต้องเลือกคนที่มีความสามารถในสิ่งที่เราไม่ถนัด หรือไม่มี
     
     ตัวอย่างเช่นเป็นคนชอบวางแผน ไม่ชอบออกไปหาลูกค้า หุ้นส่วนที่จะดึงเข้ามาจะต้องเป็นคนที่เก่งเรื่องการขาย ชอบพบปะลูกค้า ไม่ใช่เอาคนที่ชอบวางแผนเหมือนกันมาทำ พูดง่ายๆ เอาคนมาช่วยในสิ่งที่ตัวเองไม่มีหรือไม่ชอบ นั่นแหละ เรียกว่ามาเติมในสิ่งที่ขาด เหมือนการทำศึกสงครามจะต้องมีทั้งฝ่ายบู๊กับฝ่ายบุ๋น งานจึงจะสำเร็จ
 
     นั่นเป็นการเลือกคนแบบไม่ต้องพึ่งหลักวิชาอะไร แต่ถ้าจะดูกันแบบมีหลักการหน่อย ก็ต้องนำเรื่องของดวงชะตากับธาตุเข้ามาเกี่ยวข้อง ธาตุทั้ง 5 จะมีความเกี่ยวเนื่องกัน โดยมีความสัมพันธ์ทั้งด้านส่งเสริม ให้ลาภ ดึงกำลังและทำลาย โดยมีวงจรธาตุ ดังนี้ 
     วงจรธาตุส่งเสริมจะอยู่วงนอก จากธาตุไม้ส่งเสริมธาตุไฟ ธาตุไฟส่งเสริมธาตุดิน เรื่อยไปจนถึงธาตุน้ำมาส่งเสริมธาตุไม้วนเป็นงูกินหางแบบนี้ ส่วนธาตุที่ทำลาย ก็คือเส้นที่อยู่วงใน อธิบายง่ายๆ ก็คือ ธาตุน้ำทำลายธาตุไฟ ธาตุไฟทำลายธาตุทอง ธาตุทองทำลายธาตุไม้ ธาตุไม้ทำลายธาตุดิน ธาตุดินทำลายธาตุน้ำ ก็เป็นลักษณะงูกินหางวนไปเรื่อยๆเหมือนกัน

  ผมได้ทำตารางเปรียบมาให้ดูกันเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ ดังนี้
  ธาตุหลัก   ส่งเสริม    ทำลาย   ดึงกำลัง   ให้ลาภ
     น้ำ
     ไม้
     ไฟ
     ดิน
     ทอง
     ทอง
     น้ำ
     ไม้
     ไฟ
     ดิน
     ดิน
     ทอง
     น้ำ
     ไม้
     ไฟ
     ไม้
     ไฟ
     ดิน
     ทอง
     น้ำ
     ไฟ
     ดิน
     ทอง
     น้ำ
     ไม้
     ธาตุที่ให้คุณกับดวงชะตา ก็คือ ธาตุประจำตัว ธาตุส่งเสริม และธาตุให้ลาภ ส่วนธาตุที่ให้โทษ ก็คือ ธาตุดึงกำลังและธาตุทำลาย เมื่อเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของธาตุทั้ง 5 แล้ว คราวนี้ก็เอาธาตุแต่ละธาตุมาแทนความหมายของดวงชะตา โดยมีหลักพิจารณาง่ายๆ แค่ดูปีเกิดก็รู้ได้ทันทีว่า บุคคลนั้นเป็นคนธาตุอะไร ดูจากตารางข้างล่างนี้ได้เลยครับ 
                        ปีเกิด        ธาตุ   
                 มะเส็ง - มะเมีย
                   วอก - ระกา
                    กุน - ชวด
                  ขาล - เถาะ
        ฉลู - มะโรง - มะแม - จอ
        ไฟ  
       ทอง
        น้ำ
        ไม้
        ดิน
     เมื่อรู้ความสัมพันธ์ของธาตุเบื้องต้นแล้ว คราวนี้ก็นำข้อมูลมาใช้ได้เลยโดยพิจารณาคู่ส่งเสริม กับคู่ให้ลาภ เป็นอันดับแรก คนเกิดปีอะไรมีคู่ส่งเสริมกับคู่ลาภเป็นอะไร อย่างคนธาตุน้ำ (ปีกุนกับปีชวด) ถ้าจะเลือกหุ้นส่วนมาร่วมทำงาน ก็ควรเลือกคนธาตุทอง (ปีวอก,ระกา) ซึ่งเป็นธาตุส่งเสริมดวงชะตา หรือเลือกคนธาตุไฟ (ปีมะเส็ง,มะเมีย) ซึ่งเป็นธาตุให้ลาภกับดวงชะตา ไม่ควรเลือกคนธาตุไม้(ปีขาล,เถาะ) ซึ่งเป็นธาตุดึงกำลัง หรือคนธาตุดิน(ปีฉลู,มะโรง,มะแม,จอ) ซึ่งเป็นธาตุทำลาย
     คนที่เกิดปีอื่นๆ ก็ลองไล่เรียงดูนะครับ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า หลักเกณฑ์นี้ เป็นการดูอย่างกว้างๆ เพราะเป็นการพิจารณาแค่ปีเกิดเพียงอย่างเดียว ถ้าจะให้ละเอียดและลึกซึ้งกว่านี้ จะต้องเอาดวงชะตาของบุคคลนั้นๆมาคำนวณหาธาตุสำคัญ ทั้งตัวเจ้าของกิจการและตัวหุ้นส่วนที่จะเข้ามาร่วม เหมือนสมัยก่อนที่คนจะแต่งงานกันจะต้องเอาดวงของทั้งคู่มาเทียบเคียงกันว่าไปกันได้หรือเปล่า 
     อย่าลืมว่า การเป็นหุ้นส่วนกันมีสถานะมากกว่าการเป็นเจ้านายลูกน้อง เพราะฉะนั้น การเลือกคนเข้ามาร่วมทำธุรกิจจึงมีความสำคัญ ถึงแม้ว่าข้อมูลที่ได้จะไม่สามารถเอามาตัดสินบุคคลนั้นได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่อย่างน้อยก็พอเป็นแนวทาง จะได้หาทางป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมาภายหลัง
  
     ความจริงการเลือกหุ้นส่วนทางธุรกิจ ยังสามารถพิจารณาจากลักษณะของโหงวเฮ้ง (รูปร่างหน้าตา) ได้อีกด้วย เพราะใช้ระบบของธาตุทั้ง 5 เหมือนกัน บางคนใช้ข้อมูลทั้งปีเกิดและการดูโหงวเฮ้งมาพิจารณาก็ยิ่งได้ข้อมูลที่ละเอียดขึ้นไปอีก 
 
     ปัจจุบัน การเลือกหุ้นส่วนอาจไม่จำเป็นต้องใช้หลักเกณฑ์แล้วก็ได้ เพราะส่วนใหญ่จะดูกันที่ผลประโยชน์มากกว่า ไม่ใช่หุ้นส่วนแบบร่วมหัวจมท้าย สังคมเปลี่ยน วิธีการก็ย่อมเปลี่ยน ส่วนใครอยากจะนำวิธีที่ผมบอกไปใช้ดู ก็คงไม่มีใครว่าหรอกครับ (ถ้าไม่บอกใคร) ถึงแม้จะดูโบราณไปหน่อย แต่ผมว่า คนโบราณมีอะไรดีกว่าคนสมัยแยะ โดยเฉพาะความลึกซึ้ง
 
                                                                                                                  อ.มาโนช  ประภาษานนท์
                                                                                                                    ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย
 
                                                                                          E-mail :manoch_fengshui@yahoo.com
                                                                                          Mobile : 081-841-2865
                                                                                          Line ID : manoch2502 

พระราชประวัติย่อเกี่ยวกับการทรงแข่งขันเรือใบ

พระราชประวัติย่อเกี่ยวกับการทรงแข่งขันเรือใบ
                  ความทรงจำที่ประทับใจในอดีตของปวงชนชาวไทยยังคงจำได้ดีจนทุกวันนี้  เมื่อวันที่ ๑๖ธันวาคม ๒๕๑๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช   คู่กับ  สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญฯ     ได้เสด็จฯ ขึ้นประทับบนแท่นรับเหรียญรางวัลเนื่องในวโรกาสที่ทรงเป็นนักกีฬาผู้ชนะเลิศการแข่งขันเรือใบประเภท โอ เค   ในการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่  ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน
                  ชัยชนะในครั้งนั้นได้แสดงถึงพระปรีชาสามารถในการทรงเรือใบให้เป็นที่ประจักษ์   เนื่องจากทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกและพระองค์เดียวในทวีปเอเซียที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขันเรือใบนานาชาติ จนเป็นที่ยอมรับและจารึกไว้ในประวัติศาสาตร์วงการกีฬาระดับโลก จนทางราชการได้ยึดถือวันที่ ๑๖  ธันวาคมของทุกปีเป็นวันกีฬาแห่งชาติ  นับเป็นเกียรติประวัติแห่งความภาคภูมิใจของปวงชนชาวไทย  มาจนถึงทุกวันนี้
                  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับการกีฬาไว้ว่า  "การกีฬามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับชีวิตของแต่ละคนและชีวิตบ้านเมือง"   พระราชดำรัสนี้แสดงให้เห็นถึงพระราชปณิธานในเรื่องการส่งเสริมการกีฬาว่าเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาบุคคลและประเทศชาติ    จึงทรงส่งเสริมกีฬาทุกประเภท   พร้อมทั้งทรงกีฬามากมายหลายประเภทเช่นกัน
                  นอกจากนั้นยังทรงรับการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่  และ  รวมทั้งกีฬาแหลมทองครั้งที่   , และ ๑๓  ซึ่งเป็นกีฬาระดับนานาชาติไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์  ตลอดจนทรงเป็นองค์ราชูปถัมภ์ของสมาคมกีฬาสมัครเล่น
                  เรือใบฝีพระหัตถ์ลำแรกที่ทรงต่อด้วยพระองค์เองเป็นเรือใบพระที่นั่งเอ็นเตอร์ไพรส์  โดยพระราชทานชื่อเรือว่า "ราชปะแตนและต่อมาทรงต่อเรือใบประเภท โอ เค  ขึ้นอีก   พระราชทานชื่อว่า "นวฤกษ์  ซึ่งเรือนวฤกษ์นี้เองทรงนำมาใช้ในการแข่งขันกีฬาเรือใบในกีฬาแหลมทอง ครั้งที่    นอกจากนี้พระองค์ท่านยังทรงคิดค้น ออกแบบ และสร้างเรือใบขึ้นมาด้วยพระองค์เองอีก  พระราชทานชื่อว่า "เรือใบแบบมด ทรงมีรับสั่งว่า   "ที่ชื่อมดนั้นเพราะมันกัดเจ็บ  คัน  ดี "  ต่อมาทรงพัฒนาเรือแบบมดขึ้นมาใหม่โดยได้พระราชทานชื่อว่า เรือใบ "แบบซูเปอร์มด" และเรือใบในตระกูลมดนี้ลำสุดท้ายที่ทรงออกแบบคือเรือใบ  "แบบไมโครมด"  ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่นักแล่นเรือใบทั้งหลาย
                  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงต่อเรือขึ้นมาอีกลำหนึ่งเป็นเรือใบประเภท โอ เคพระราชทานชื่อเรือว่า"VEGA" หรือ เวคา (เป็นชื่อดาวที่สุกใสดวงหนึ่ง)  ทรงใช้เรือลำนี้เสด็จฯ ข้ามอ่าวไทยจากพระราชวังไกลกังวลหัวหินไปขึ้นฝั่งที่หาดเตยงามในหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เมื่อ ๑๙ เมษายน  ๒๕๐๙  ซึ่งในการต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ   พระราชทานหางเสือเรือเวคา เพื่อเป็นรางวัลนิรันดรในการแข่งขันเรือใบระยะทางไกลของประเทศไทย  นอกจากนี้ยังทรงก่อตั้งสโมสรเรือใบส่วนพระองค์ขึ้นคือสโมสรเรือใบจิตรลดา ทั้งยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณรับสโมสรเรือใบต่างๆ มาไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์เช่น สโมสรเรือใบราชวรุณ  สโมสรเรือใบกรมอู่ทหารเรือ สโมสรเรือใบฐานทัพเรือสัตหีบ สโมสรเรือใบนาวิกโยธิน และสโมสรเรือใบกองเรือยุทธการ เป็นต้น
                  ด้วยเหตุที่โปรดการต่อเรือใบประเภทต่างๆ ดังกล่าว  หม่อมเจ้า ภีศเดช  รัชนี   ได้ทรงเล่าถึงพระราชดำรัสขององค์ท่านในหนังสือ อสทเรื่องทรงเรือใบ ฉบับที่  ธันวาคม ๒๕๓๔  ไว้ว่า  "ปีใหม่คนอื่นๆ เขาไปฉลองกัน เสียเสียเงินมาก แต่เราเสีย ๑๔๗ บาท เท่านั้น  เป็นค่าไม้ยมหอม และค่าเบียร์ฉลองปีใหม่  แต่เรายังสนุกกว่าเขาอีก  แล้วเป็นประโยชน์ด้วย"
                  จากพระราชดำรัสที่กล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่าพระองค์ท่านทรงให้ความสนพระทัยในการกีฬาเรือใบนี้ด้วยพระราชหฤทัยอย่างแท้จริง  จึงได้ทรงต่อเรือใบด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง  ซึ่งมีเพียงแต่พระองค์ท่านที่ทรงเป็นพระประมุขของชาติไทยพระองค์เดียวในโลกนี้เท่านั้นที่ทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านเรือใบ
                      ด้วยพระราชกรณียกิจที่ทรงพระปรีชาสามารถทางการกีฬาจนเป็นที่เลื่องลือ และได้มีการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์วงการกีฬาอันเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก คณะกรรมการโอลิมปิกสากลจึงได้มีมติเป็นเอกฉันท์   และได้ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองดุษฏีกิตติมศักดิ์ของ  โอลิมปิก  คือ   "อิสริยาภรณ์โอลิมปิกสูงสุด (ทอง)" เมื่อ๑๔ ธันวาคม ๒๕๓๐   นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ทรงได้รับเกียรติยศดังกล่าว    นอกจากนี้มหาวิทยาลัยมหิดลก็ได้ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา  เมื่อวันที่    สิงหาคม  ๒๕๓๔
                  ปัจจุบันแม้ว่าพระองค์ท่านจะทรงเรือใบไม่มากเท่าแต่ก่อนอันเนื่องจากทรงมีพระราชกรณียกิจมาก   แต่กระนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์นี้ก็ทรงแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลกแล้วว่า   ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดหรือประมุขชาติใดในโลก    ที่ทรงเป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยมและให้ความสำคัญต่อการกีฬาตลอดจนสนับสนุนการกีฬาเทียบเท่าพระองค์ท่านได้เลย
                    
เรือใบ  โอ เค
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทรงต่อเรือใบด้วยพระองค์เองเรือใบฝีพระหัตถ์ลำแรกที่ทรงต่อเป็นเรือประเภทเอ็นเตอร์ไพรส์โดยพระราชทานชื่อเรือว่า " ราชปะแตน "

8 พฤติกรรม...อย่าทำบนเครื่องบิน! ไม่งั้นถูกไล่(เชิญลง)ทันที

8 พฤติกรรม...อย่าทำบนเครื่องบิน! ไม่งั้นถูกไล่(เชิญลง)ทันที

รวบรวมพฤติกรรมสุดแย่ของผู้โดยสาร บอกเล่าโดยแอร์โฮสเตสที่จะมาบอกว่า "หากคุณทำแบบนี้ คุณถูกเชิญลงจากเครื่องบินแน่นอน"
สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... ช่วงนี้เรามักเห็นดราม่าสายการบินบ่อยมากกก เรียกว่ามาเป็นรายสัปดาห์เลยก็ว่าได้ค่ะ ทั้งผู้โดยสารที่ไปเช็คอินไม่ทันแล้วโวยวายสายการบิน หรือ ผู้โดยสารที่ย้ายจากที่นั่งปกติไปยังที่นั่งที่ต้องทำการจองแบบเสียเงิน จนแอร์โฮสเตสต้องเตือน และล่าสุดก็เป็นผู้โดยสารที่โวยวายเสียงดังบนเครื่องบินเนื่องจากไม่พอใจที่ เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้นำกระเป๋าที่มีน้ำหนักเกินติดตัวขึ้นเครื่องบิน ด้วย

         วันนี้ 
พี่เป้ เลยรวบรวม 8 พฤติกรรมที่น้องๆ ไม่ควรทำบนเครื่องบิน ผ่านการบอกเล่าของรุ่นพี่แอร์โฮสเตส เพราะไม่เช่นนั้น ลูกเรือ(แอร์โฮสเตสและสจ๊วต) มีสิทธิ์ที่จะเชิญน้องลงจากเครื่องบินก่อนที่เครื่องบินจะ take off (บินขึ้นจากสนามบิน) ได้ค่ะ ซึ่งเราเรียกการกระทำเช่นนี้ว่า offload ซึ่งหมายถึง การนำผู้โดยสารหรือ/และสัมภาระลงจากเครื่องบิน ก่อนที่เครื่องบินจะบินขึ้นนั่นเอง


1. แต่งตัวไม่สุภาพ

      หลายคนอาจจะงงว่า เอ๊ะ คำว่า "ไม่สุภาพ" ในทีนี้คือระดับไหนนะ? เพราะบางทีก็เห็นสาวๆ ใส่เกาะอกกับกางเกงขาสั้นขึ้นเครื่องบินอยู่เลย.....ในกรณีหากเป็นผู้หญิง การแต่งตัวไม่สุภาพจะอยู่ในระดับที่ หน้าอกแทบจะล้นออกมากองหรือสั้นมากจนเห็นแก้มก้นย้วยๆ ทำนองนั้นค่ะ ประมาณว่า ถ้าเดินขึ้นเครื่องบินมาแล้วทุกคนหันมามองที่เราเป็นสายตาเดียว นั่นแปลว่าชุดที่ใส่มาไม่โอเคแล้ว ดังนั้นน้องๆ ผู้หญิงคนไหนที่ชอบแต่งตัวเซ็กซี่ ขอแนะนำให้พกเสื้อคลุมไปด้วยนะคะ เพราะบางครั้งลูกเรืออาจมาขอความร่วมมือให้เราหาอะไรมาคลุม ถ้าเราคลุม ก็คือไม่มีปัญหาอะไร แต่พวกที่ถูกเชิญลงจากเครื่องบินคือพวกที่ไม่ยอมทำตามคำขอร้องของลูกเรือ นั่นเองค่ะ ประมาณว่า ก็ฉันอยากโชว์ ชุดของฉัน หน้าอกฉัน มีอะไรมั้ย??? มีสิจ๊ะ เชิญบินเที่ยวบินหน้าเลยจ้าาาา


       สำหรับหนุ่มๆ ระดับที่ไม่สุภาพน่าจะประมาณว่า แต่งตัวสไตล์ฮิปฮอปหลุดโลกไปหน่อย คือกางเกงแทบจะหลุดลงไปกองอยู่แล้ว ลูกเรืออาจมาขอร้องให้ดึงขึ้นหรือหาเข็มขัดรัด ถ้าทำตามก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ทำตามล่ะก็ เชิญบินเที่ยวบินหน้าเช่นเดียวกันจ้า



2. พูดจาหยาบคาย ด่าทอ เสียดสีลูกเรือ


       ในกรณีที่เครื่องบินยังไม่ take off หากเราต้องการความช่วยเหลือใดๆ ที่จำเป็นมากๆ เราก็สามารถบอกลูกเรือได้ เช่น ขอน้ำเพราะจำเป็นจะต้องทานยาเดี๋ยวนั้น ถ้าลูกเรือสามารถทำให้ได้ ณ ตอนนั้น เค้าก็จะทำให้ค่ะ แต่บางคนก็เยอะเกิ๊น บางคนจะขอให้เอาอาหารมาเสิร์ฟเดี๋ยวนั้นเลย ไปเอามาให้ฉันเดี๋ยวนี้! ลูกเรืออาจจะบอกว่า คุณผู้โดยสารกรุณารอสักครู่นะคะ แต่ถ้าผู้โดยสารทำตัวเยอะ ไม่ยอม จะเอาเดี๋ยวนี้ แล้วยังด่าหยาบๆ เช่น bitch, fuck อะไรแบบนี้ หรือแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสม มันก็เกินไปค่ะ ลูกเรือมีสิทธิ์แจ้งไปยังหัวหน้าเที่ยวบินหรือกัปตันแล้วเชิญผู้โดยสารคน นั้นลงจากเครื่องได้ เผลอๆ แจ้งความก็ยังได้นะ หมิ่นประมาทชัดๆ



3. เมา!


      ไม่ต้องอธิบายอะไรมากค่ะ เพราะคนที่เมาเป๋นั้นขาดสติ อาจลุกมาทำอะไรที่ส่งผลร้ายได้ เช่น ลุกมาจะเปิดประตูเครื่องบิน = =" ลุกมาพังข้าวของบนเครื่องบิน ซึ่งหากเครื่องบินบินขึ้นแล้ว ก็คงแก้ปัญหายากแน่ๆ ดังนั้นเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ถ้าผู้โดยสารคนไหนมีกลิ่นแอลกอฮออล์หึ่งหรือดูท่าทางจะเมาแน่ๆ ลูกเรือก็จะมาเชิญให้ลงจากเครื่องเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารคนอื่นๆ ค่ะ 

     



4. ผู้โดยสารโวยวาย หรือ ทะเลาะกัน

       จากสถิติแล้ว(เค้าว่ากันว่า)ผู้โดยสารชาติที่ครองแชมป์สร้างเรื่องนี้คือบรรดาคุณลุงคุณป้าจากจีนแผ่นดินใหญ่เลยค่ะ ปัญหายอดฮิตคือแย่งที่นั่งกัน เห็นที่นั่งตรงริมหน้าต่างว่าง ต่างคนก็หมายปอง เตรียมจะลุกไปชิงที่นั่ง ปรากฎแกก็ไม่ยอม ฉันก็ไม่ยอม แทบจะเปิดเวทีกังฟูกันบนเครื่องบิน ลูกเรือก็เชิญให้ลงไปเล่นกังฟูกันต่อที่บ้านเลยค่ะ

        อีกเคสที่ได้ยินมาคือ เป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่ทะเลาะกันดังลั่น เครื่องบินเคลื่อนตัวออกจากที่จอดแล้วนะ กัปตันก็ขับกลับมาจอดแล้วเชิญทั้งคู่ลงจากเครื่องเหมือนกันค่ะ

สำหรับคลิปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงค่ะ ผู้โดยสารร้องเพลงดังลั่นไม่ยอมหยุด
สุดท้ายก็โดนเชิญลงจากเครื่องไปเลย เจ้าหน้าที่ตำรวจมารับตัวถึงเครื่องเลย


5. วุ่นวาย รบกวนผู้โดยสารคนอื่น

       สำหรับกรณีนี้มักเกิดกับผู้โดยสารที่เป็นเด็กเล็กที่ซนและป่วน คือซนนิดๆ หน่อยๆ อันนี้ทุกคนรับได้ แต่ถ้าซนแบบวายป่วง เดินวุ่น กวนประสาท พังข้าวของ ทั้งๆ ที่ก็เป็นวัยที่พอจะพูดรู้เรื่องแล้วแต่ก็ยังไม่ฟัง ลูกเรือก็จะใช้วิจารณญาณไตร่ตรองว่าพอรับมือได้มั้ย ถ้าเห็นว่าไม่ไหวแน่ๆ ก็จะเชิญน้องคนนั้นลงพร้อมกับผู้ปกครองด้วยเลยค่ะ


      แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กมากๆๆๆ ที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องที่ร้องไห้ดังลั่น อันนี้เป็นที่เข้าใจได้ค่ะว่าอาจจะร้องไห้เพราะไม่คุ้นที่หรือเพราะตกใจที่ เจอคนเยอะ แต่เวรกรรมก็จะมาตกอยู่กับคนที่นั่งข้างๆ T__T จริงๆ สายการบินน่าจะมีโปรโมชั่นนะ แบบว่าพ่อแม่พาลูกเที่ยว หากลูกของคุณนั่งนิ่งสงบเรียบร้อยตลอดการเดินทาง คืนเงินค่าตั๋วเครื่องบินไปเลย 50% ฮ่าๆๆๆ พี่เคยนั่งข้างๆ เด็กน้อยที่ร้องตลอด 2 ชั่วโมง หูแทบแตกจ้า



6. ผู้โดยสารป่วยหนัก


      จริงๆ อาจจะมีการสกรีนตั้งแต่ตอนเช็คอินแล้วค่ะว่าผู้โดยสารนั้นมีร่างกายแข็งแรงพอที่จะโดยสารเครื่องบินได้มั้ย เช่น บางคนไอหนักมากกกกกก(กลัวเชื้อจะไปติดคนอื่น) อะไร ทำนองนี้ แอร์โฮสเตสอาจจะต้องปรึกษาหัวหน้าเที่ยวบินว่าโอเคมั้ย ถ้าอยู่ในระดับที่มีโอกาสจะติดต่อไปยังผู้โดยสารคนอื่นได้ ก็อาจเชิญลงจากเครื่อง ดังนั้นน้องๆ อย่าลืมเช็คความพร้อมของร่างกายตัวเองก่อนเดินทางด้วยนะคะ

       ส่วนใครที่ป่วยหนักจริงๆ แล้วจำเป็นต้องเดินทางด้วยสาเหตุที่จำเป็นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น บินไปผ่าตัดที่ต่างประเทศ ก็จำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์ติดตัวมาด้วยค่ะ บางรายก็มาทั้งรถนอนแบบเตียงผู้ป่วยเลยก็มีค่ะ



7. ทำสิ่งที่ไม่สมควร

       ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงทำลายข้าวของ แต่ทำในสิ่งที่ "ไม่สมควร" เช่น การถ่ายรูปแอร์โฮสเตส จริงๆ ไม่ได้มีกฎห้ามว่าถ่ายรูปแอร์โฮสเตส(เพราะก็เห็นหลายคนถ่ายมากันเยอะ) แต่ทางที่ดีควรขออนุญาตก่อนจะดีกว่าค่ะ อย่างเพื่อนพี่เคยหยิบกล้องมาถ่ายแอร์โฮสเตสตอนสาธิตอุปกรณ์ฉุกเฉิน แอร์โฮสเตสก็เดินมาขอความร่วมมือให้ลบทิ้ง


       บางคนแรงกว่านั้น เช่น มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ คือผู้โดยสารรายหนึ่งมีปัญหากับลูกเรือก่อนเครื่องจะขึ้น กำลังเถียงโช้งเช้งกันอยู่เลย ก็มีผู้โดยสารอีกคนหยิบกล้องมาบันทึกเหตุการณ์ไว้ ลูกเรือเลยขอร้องให้ลบออก แต่นางก็ไม่ลบออก สรุปว่าก็โดนเชิญลงจากเครื่องไปอีกราย



8. เหตุผลทางกายภาพร่างกาย

       เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับสายการบินในประเทศของแคนาดาค่ะ เคยมีการเชิญผู้โดยสารลงเนื่องจากผู้โดยสารคนนั้น "มีกลิ่นตัวที่แรงมากเกินไป" ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารในเครื่องบินเป็นสิบ ตามข่าวเล่ามาว่า กลิ่นโหดร้ายมากกกเลยค่ะจนผู้โดยสารคนอื่นกราบขอร้องว่าไม่ไหวแล้ว ลูกเรือก็ต้องจำใจมาเชิญผู้โดยสารท่านนั้นลงไปค่ะ แบบนี้ก็น่าเห็นใจนะคะ ไม่มีใครอยากมีกลิ่นตัวแรงหรอก

     

  
       ทั้งหมดก็คือเหตุผลที่ทำให้ ลูกเรือต้องเชิญผู้โดยสารลงจากเครื่องบิน มีใครเคยอยู่ในเหตุการณ์ไหนบ้างมั้ยคะ อ้อ แล้วนอกจากจะเชิญผู้โดยสารลงแล้ว ก็จะต้องรื้อกระเป๋าสัมภาระที่โหลดแล้วของผู้โดยสารคนนั้นออกไปด้วยซึ่งเป็น สาเหตุทำให้เครื่องบินดีเลย์ เพราะหากในกระเป๋าเป็นวัตถุอันตรายที่ผู้ก่อการร้ายตั้งใจจะทิ้งไว้บน เครื่องล่ะก็ รับรองต้องมีเหตุสลดเกิดขึ้นแน่ๆ ดังนั้นหากน้องๆ คนไหนเจอปัญหาที่เครื่องบินดีเลย์เพราะสาเหตุพวกนี้ ก็อย่าเพิ่งโมโหไปนะคะ สายการบินและลูกเรือเค้าทำเพื่อความปลอดภัยของพวกเรานั่นแหละค่ะ
 
บทความนี้ถูกเขียนขึ้นโดยทีมงานเว็บไซต์ Dek-D.com เป็นที่แรก
หากต้องการนำไปเผยแพร่ต่อในเว็บไซต์อื่น กรุณาใส่เครดิตให้ครบถ้วน