ads by google

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บุคคลแห่งปีของเอเชีย


ชาง ผิงอี้ไม่เคยลืมครั้งแรกที่เธอไปเยี่ยมหมู่บ้านผู้ป่วยโรคเรื้อนในจีน ปีนั้นคือปี 2542 
ชางเป็นนักข่าวมือรางวัลมีประวัติการทำงานโดดเด่นของหนังสือพิมพ์ไชน่าไทม์ ในกรุงไทเป 
และสามเดือนก่อนหน้านั้น นักข่าวหญิงวัย 40 ปีผู้นี้ก็เพิ่งให้กำเนิดบุตรคนที่สอง 
เมื่อเธอเดินเข้าไปก็พบเด็กๆ เนื้อตัวล่อนจ้อนมอมแมม แมลงวันไต่ตอมตามใบหน้า 
ผู้ใหญ่แขนขาเน่าเปื่อยไร้การดูแลและกลิ่นเหม็นตลบลอยมาจากชาวบ้าน
สี่เดือนก่อนที่ชางจะประสบกับภาพที่รบกวนจิตใจดังกล่าว เธอเพิ่งรับรู้ถึงประเด็นต่างๆ 
ที่แวดล้อมโรคเรื้อนอันเป็นโรคเรื้อรังที่ทำลายประสาทอย่างถาวร รวมทั้งทำให้ผิวหนังเสียหาย 
แขนขาพิการ ช่วงที่เธอตั้งครรภ์ได้เก้าเดือน หนังสือพิมพ์ต้นสังกัดไม่ได้มอบหมายงานให้เธอ 
ดังนั้นเมื่อนักบวชชาวออสเตรียผู้หนึ่งชวนเธอไปเยี่ยมสถานรักษาผู้ป่วยเรื้อรังโลเช็ง 
ซึ่งเป็นสถานดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อนแห่งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ของไต้หวัน ชางจึงตอบตกลง 

การไปครั้งนั้น
กระตุ้นความสนใจของเธอ และเมื่อนักบวชท่านเดิมแนะให้ไปหมู่บ้านผู้ป่วยโรคเรื้อนในจีน 
ชางก็ไม่ลังเล สิ่งที่เธอได้พบที่นั่นไม่น่าอภิรมย์เลยชางสะเทือนใจมากต่อชะตากรรมเลวร้ายของชาวบ้านในนิคม
โรคเรื้อนกว่า 800 แห่งทั่วประเทศจีน 
พวกเขามิได้ต้องการอะไรมากไปกว่าให้ลูกหลานของตนซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ติดโรคเรื้อนได้รับการศึกษา
และเป็นที่ยอมรับของสังคม 
“ฉันนึกไม่ถึงว่าผู้คนเกินครึ่งในนิคมเหล่านี้จะมีสุขภาพดีและยังเด็ก” ชางซึ่งบัดนี้อายุ 53 ปีกล่าว 
“ในฐานะแม่ซึ่งมีลูกสองคน ฉันอดเป็นห่วงอนาคตของเด็กๆ พวกนี้ไม่ได้” 
หลังกลับไปไทเป ชางก็ลาออกจากงานเงินเดือนสูงที่ไชน่าไทม์ 
การตัดสินใจอย่างนี้ไม่ง่ายเลยสำหรับคนซึ่งโตมาในครอบครัวที่มั่งคั่ง 
แต่ในใจเธอรู้ดีว่าต้องแลกอาชีพการงานและบ้านสี่ชั้นแสนสบายในไทเปเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ในนิคมโรคเรื้อนของจีน 
เธอบอกว่า “ฉันไม่ได้เลือกหรอก มันเป็นเรื่องของจังหวะเวลาที่คุณอธิบายไม่ได้”

ช่วงทศวรรษ 1950 
รัฐบาลจีนเริ่มแยกผู้ป่วยโรคเรื้อนไว้ในนิคมเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด 
แม้ปัจจุบันโรคนี้รักษาและป้องกันได้แล้ว แต่ยังมีการเลือกปฏิบัติอยู่ในหลายๆ ชุมชน 
อย่างที่เหลียงซานในมณฑลเสฉวน 
ซึ่งพลเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวอี๋ ชนกลุ่มน้อยที่เชื่อว่าโรคเรื้อนเกิดจากการถูกผีสิง
รัฐบาลไม่ได้ยอมรับหมู่บ้านหลายแห่งเหล่านี้อย่างเป็นทางการ ผู้อยู่อาศัยจึงไร้เอกสารแสดงตนเพื่อใช้เข้าโรงเรียน
หรือหางานทำนอกหมู่บ้าน ชางรู้มาว่าภาวะที่ขาดการเหลียวแล การศึกษา และไร้อนาคต
ทำให้เด็กๆ ในหมู่บ้านเหล่านี้ติดบุหรี่กันตั้งแต่อายุแค่ห้าขวบ แล้วในที่สุดหลายคนก็หันไปหา
สุรา ยาเสพติด และอาชญากรรม

ช่วงปลายปี 2543 
มีคนโทรศัพท์ติดต่อมาเล่าให้ชางฟังถึงเรื่องโรงเรียนแห่งหนึ่งในแขวงเยว่ซีของเหลียงซาน 
สถานที่ที่เรียกกันว่า “สถานศึกษา” แห่งนี้ตั้งขึ้นเมื่อปี 2530 เป็นโรงเรียนแห่งแรกในเสฉวน
ที่สร้างสำหรับรับเด็กจากนิคมโรคเรื้อน เป็นบ้านสองห้องโทรมๆ ไม่มีหน้าต่าง 
เปิดสอนนักเรียน 70 คนถึงแค่ประถมสี่ โดยครูคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ศึกษาด้านนี้มาโดยตรง
ชางเห็นว่าโรงเรียนนี้คือโอกาสหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็กๆ มีอนาคตที่ดีกว่าเดิมได้ 
เธอจึงทุ่มเทความพยายามสร้างมันขึ้นใหม่ เธอระดมหาเงินทุน คุมงานก่อสร้าง 
และติดต่อเจรจากับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเอง 

ปี 2545 
เธอภูมิใจที่ได้เข้าร่วมพิธีเปิดอาคารเรียนหลังใหม่ที่พรั่งพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ครูผู้สอน และเจ้าหน้าที่ 
ปีถัดมาโรงเรียนแห่งนี้สร้างหอพักหนึ่งหลังในบริเวณโรงเรียน แล้วเธอก็ก่อตั้งมูลนิธิวิงส์ออฟโฮป (ปีกแห่งความหวัง) ในไต้หวัน

ปลายปี 2548 
มูลนิธิวิงส์ออฟโฮปบรรลุหมุดหมายสำคัญสามอย่าง 
อย่างแรกคือชางเอาชนะผู้ยื่นโครงการอื่นๆ 800 ราย ได้รับเงินรางวัล 1.7 ล้านเหรียญไต้หวัน
                  จากกองทุนจอห์นนี วอล์กเกอร์ คีป วอล์กกิงซึ่งมอบให้แก่โครงการที่เหมาะสม 
ต่อมาเดือนมีนาคม 2548 ทางการก็รับรองหมู่บ้านที่อยู่รอบโรงเรียน 
                                     โดยชาวบ้านที่นั่นได้รับบัตรประชาชนเป็นครั้งแรกในชีวิต หมู่บ้านนั้นได้ชื่อใหม่ว่าไต้อิงปัน 
และอย่างที่สามคือในเดือนกรกฎาคม 2548 โรงเรียนประถมไต้อิงปันฉลองนักเรียนรุ่นแรกที่เรียนจบ 
ชางเดินหน้าสานฝันขั้นต่อไป คือสร้างโรงเรียนมัธยมด้วยงบประมาณอุดหนุนจำนวน 2.6 ล้านหยวน
จากสำนักงานบรรเทาความยากจนมณฑลเสฉวน โรงเรียนมัธยมไต้อิงปันจึงสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2553
ทุกวันนี้ไต้อิงปันคือความภาคภูมิใจของเหลียงซาน ด้วยห้องเรียนพร้อมด้วยสื่อผสมจำนวนสิบห้อง 
ครัวหนึ่งห้อง และห้องสมุดสองห้อง พร้อมน้ำประปาและไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ โรงเรียนนี้มีถังเก็บน้ำใต้ดินของตัวเอง 
พร้อมสุขาสาธารณะแห่งแรกของหมู่บ้าน ภาคเรียนหน้าคาดว่าจะมีครู 17 คน นัก เรียน 355 คน 
ที่น่าประหลาดใจคือนักเรียนหนึ่งในสิบไม่ได้มาจากหมู่บ้านผู้ป่วยโรคเรื้อน

ชางยังมีโครงการควบคู่กันในเมืองชิงเตา มณฑลชานตงด้วย นั่นคือ โรงเรียนการอาชีพชิงเตา 
เมื่อหลายปีก่อนเธอรบเร้าให้พี่ชายซึ่งบริหารโรงงานผลิตอุปกรณ์ออกกำลังกายที่นั่น
รับนักเรียนที่จบจากไต้อิงปันเข้าฝึกงานพร้อมหลักสูตรภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ และทักษะการจัดการชีวิต
เธอกล่าวว่า “ต่อให้นักเรียนบางคนของฉันจบมัธยมปลายหรือมหาวิทยาลัย ช่องทางที่จะหางานทำได้ก็ยังจำกัด 
ฉันจึงคิดว่าน่าจะให้พวกเขาได้เรียนรู้ทักษะด้านเทคนิคที่ใช้ประกอบอาชีพ ช่วยจุนเจือครอบครัว”

ชางยังคงติดต่อกับทางไต้อิงปันอยู่เสมอ แม้ขณะนั่งอยู่ในสำนักงานมูลนิธิของเธอที่ไทเป 
ซึ่งเป็นแฟลตธรรมดาๆ บนชั้นสองเหนือคลินิกแพทย์ของสามี
เสื้อผ้าสวมสบายและใบหน้าที่แต่งบางๆ ของเธอตรงข้ามกับที่เคยได้ชื่อว่าติดหรูเมื่อสมัยทำงานที่หนังสือพิมพ์
เมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่ผมซึ่งเธอถักเปียสองข้างก็ยังส่อให้เห็นพลังเยาวภาพในน้ำเสียงและกิริยาท่าที
“ไม่มีใครตั้งใจทำอะไรอย่างนี้จริงจังเพราะหวังจะได้รางวัลหรอก” 

เธอพูดถึงการได้รับรางวัลบุคคลแห่งปีของเอเชียจาก รีดเดอร์ส ไดเจสท์ 
“แต่พูดตรงๆ ก็รู้สึกไม่เลวเลย มันทำให้เรารู้ว่าคนอื่นเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทำการที่ใครๆ 
 ยอมรับงานทั้งหมดที่เราทุ่มเททำมาย่อมเป็นเรื่องวิเศษ”
ชางบอกว่าข้อเสียของการได้รางวัลก็คือ “ไม่ได้อยู่นอกสายตาใครๆ อีกต่อไป 
แรงกดดันนี้ทำให้ต้องทำงานหนักมากกว่าเดิม” ใช่ว่ามันจะเคยเป็นเรื่องง่าย 
ชางเล่าไว้ในบันทึกความทรงจำซึ่งตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วถึงความสิ้นหวังในช่วงแรก
ตอนที่ขายเทียนหาเงินทุนและรู้สึกย่ำแย่เมื่อขายไม่ได้แม้แต่เล่มเดียวในวันคริสต์มาสอีฟ เธอบอกว่า 
“มันยากที่จะโฆษณาแนวคิดเมื่อไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นใคร” แต่เธอยังกัดฟันสู้ต่อ 

แล้วปี 2545 
เธอก็ระดมทุนได้ถึง 600,000 เหรียญไต้หวัน (ราว 620,000 บาท) 
ในเวลาเพียงสองชั่วโมงที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งของไทเปในวันผู้ป่วยโรคเรื้อนสากล
ชางบอกว่า “ครอบครัวส่วนใหญ่อาศัยลูกๆ เป็นแรงงาน ทุกครอบครัวมีลูกอย่างน้อยห้าคน 
โรงเรียนจึงเป็นการลงทุนระยะยาวเกินไปสำหรับหลายครอบครัว” 
เธอยอมรับว่าหลังภาคเรียนแรกผ่านไป นักเรียน 48 คนที่รับเข้ามาเรียนมัธยมเมื่อปีที่แล้ว
เหลืออยู่เพียง 26 คนเท่านั้น
สุขอนามัยคือปัญหาอีกอย่างและสภาพที่พบทั่วไปในเด็กคือ ทั้งเหา เหลือบไร และกลิ่นตัว 
เจ้าหน้าที่ต้องสอนให้เด็กรู้จักอนามัยพื้นฐาน ภาวะขาดแคลนน้ำและไฟฟ้าซึ่งเอาแน่นอนไม่ได้นั้นยังเป็นปัญหาอยู่
แต่ก็ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ปัญหาท้าทายใหญ่หลวงที่สุดสำหรับชางก็คือการรับมือกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่น 
ซึ่งหลายปีมานี้พยายามขัดขวางความอุตสาหะของเธอทุกครั้ง 
ทัศนคติของพวกเขาเปลี่ยนไปหลังจากเธอได้รับหลายรางวัล
รวมทั้งการที่สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของรัฐบาลจีนประกาศยกย่องให้เธอเป็นหนึ่งใน “บุคคลน่าประทับใจ” 
ที่สุดแห่งปี 2554 โดยถือเป็นชาวไต้หวันคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้

เมื่อถามว่าเคยมีสักครั้งไหมที่เธอคิดจะยอมแพ้ ชางตอบตรงๆ ว่า “ตลอดเวลาเลยล่ะ!” 
แล้วเสริมว่า แต่เธอก็เป็นคนประเภทที่หลังเช็ดน้ำตาแล้วจะคิดถึงก้าวต่อไปโดยใช้เหตุผล
ตลอดเวลาที่ผ่านมาครอบครัวของชางกลายเป็นเรื่องรองจากมูลนิธิของเธอ 
แต่คน ในครอบครัวก็คอยให้กำลังใจ ช่วงหยุดเรียน ลูกชายวัยรุ่นทั้งสองตามเธอไปยังหมู่บ้านแห่งนั้น
เพื่อทำงานเป็นอาสาสมัคร สามีซึ่งทีแรกคิดว่าไม่มีทางที่ภรรยาตัวเองซึ่งเคยชินกับชีวิตสุขสบาย
จะอยู่ได้ในสถานที่ไม่มีน้ำไฟใช้ ก็สนับสนุนการตัดสินใจของเธอเสมอมา
ทุกอย่างที่ชางทำในไต้อิงปันสะท้อนถึงปรัชญาสองประการของเธอ 

 ประการแรก คือ ตระหนักว่าวันหนึ่งการศึกษาจะทำลายคำสาปเรื่องโรคเรื้อนได้ หาใช่เงินทองไม่ 
เธอกล่าวว่า “การช่วยเหลือคนเหล่านี้ไม่ใช่แค่ให้เงิน เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร”
“ฉันเชื่อว่าตราบใดที่เราให้การศึกษาที่ดีแก่เด็กฉลาดๆ เหล่านี้ พร้อมกับให้ความรักเขามากๆ 
ทุกคนก็สามารถใช้ชีวิตปกติและเป็นกำลังหลักของสังคมได้”

ปรัชญาประการที่สองของเธอคือ เรื่องการใช้ประโยชน์จากพลังความคิดเห็นของสาธารณชน
“ฉันไม่ตรงเข้าไปพูดกับใครหรอกว่า ‘ดูซิว่าคนพวกนี้จนแค่ไหน บริจาคเงินให้เราหน่อย’ 
ไม่หรอก ฉันต้องบอกให้ผู้คนรับรู้สถานการณ์ของพวกเขา บอกว่าทำไมพวกเขาถึงต้องสลัดโรคนี้ให้พ้น 
ฉันต้องอธิบายถึงจิตใจอันเป็นกุศล อธิบายว่าเป้าหมายสุดยอดของมันคืออะไร”
สำหรับชาง เป้าหมายสูงสุดนั้นคือ 
 สร้างพลังผ่านความคิดเห็นของสาธารณชนให้ได้มากพอจะกดดันให้รัฐบาลสร้างความเปลี่ยน แปลงอย่างแท้จริง
เธอบอกว่า “เป้าหมายของฉันชัดมาก มูลนิธิเล็กๆ นี้อยู่มาได้นานหลายปีเพราะมีความหมายและเป้าประสงค์อย่างแท้จริง”
ทุกวันนี้ชางใช้เวลาประมาณปีละแปดเดือนในจีนไปบรรยายและร่วมงานต่างๆ 
โดยแบ่งสรรเวลาระหว่างไต้อิงปัน ชิงเตา และส่วนอื่นๆ ของประเทศ ปกติเธอจะบินกลับไทเปทุกสองหรือสามสัปดาห์
ชางกำลังวางแผนจะลดบทบาทจากการเป็นบุคคลแถวหน้าในอีกสองปีต่อจากนี้ 
ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าโครงการของเธออยู่ในขั้นสมบูรณ์เต็มที่แล้ว เธอรู้ว่าตัวเองไม่อาจช่วยเด็กทุกคนได้ 
เธอจึงตั้งใจเสมอมาว่าจะทำให้ไต้อิงปันเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่นๆทำตาม
ตอนนี้หมู่บ้านอื่นๆ อีก 16 แห่งในเหลียงซานตั้งสถานศึกษาของตัวเองกันแล้ว 
ก้าวต่อไปคือตั้งมูลนิธิในจีนและดึงรัฐบาลจีนให้มีส่วนร่วมด้วยมากขึ้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชางต้องหลั่งน้ำตานับครั้งไม่ถ้วนอันเกิดจากความรู้สึกโกรธ คับข้อง หัวใจสลาย และสิ้นหวัง
แต่ที่เกิดจากความภาคภูมิใจและความสุขก็มีเหมือนกัน สุดท้ายมันก็เกี่ยวเนื่องกับเด็กๆ เสมอ 
บอร์ดติดภาพถ่ายใบหน้านักเรียนที่ไต้อิงปันทุกคนแขวนอยู่ในสำนักงานของชางเสมือนเครื่องเตือนใจให้นึกเสมอว่า
เหตุใดการดิ้นรนต่อสู้นี้จึงคุ้มค่า เธอบอกว่า 
 “ฉันอยากสอนให้เด็กด้อยโอกาสพวกนี้รู้จักรักชีวิต เพราะชีวิตช่างแตกต่างหลากหลาย และมีความเป็นไปได้มากมายเหลือเกิน
“ถึงพวกเขาจะไม่มีทางร่ำรวย แต่เขาก็ยังเป็นสุขและอิ่มเอมใจได้ ความรู้สึกที่ฉันมีต่อพวกเขาก็ง่ายๆ 
เหมือนความรักอันไร้เงื่อนไขของแม่ ฉันไม่ต้องการให้พวกเขาตอบแทนอะไร แค่อยากให้พวกเขามีชีวิตที่ดีเท่านั้น