ads by google

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมีฯ(ตถตา)




รูปภาพ : ชาติที่แล้ว การเวียนว่ายตายเกิดแห่งสังสารวัฏ มีจริง คล้ายกับเมื่อวันวาน ที่มีจริง  แต่ ณ ปัจจุบันขณะ สิ่งที่เป็นเมื่อวาน สิ่งต่างๆนั้นไม่มีอยู่แล้ว มีเพียงการสืบเนื่อง สืบต่อของเหตุและปัจจัย    ในทางพุทธธรรม พึงเรียนรู้สิ่งนี้ว่า เป็นสภาพธรรมขณะหนึ่งๆ ยอมรับว่า เมื่อมีเหตุมีปัจจัย เหตุแรงสืบเนื่องต่อไปของสิ่งนั้นๆ  ย่อมมี  ...และเมื่อใดเหตุและปัจจัยสลายลง สิ่งที่ถูกขับเคลื่อนอยู่โดยเหตุปัจจัยนั้นๆจึ่งย่อมจะดับสลายลง    หากมีบุคคลกล่าวว่า อดีตชาติไม่มี ไม่มีเหตุปัจจัยสืบต่อในสรรพสิ่ง บุญกรรมไม่มีจริง   นั้นย่อมค่อนไปทางผู้มีมิจฉาทิฏฐิหรือผู้มีความเห็นที่ผิดในหลักพุทธธรรม  เขาอาจเชื่อในสิ่งบังเอิญหรือดลบันดาลว่าเป็นไปได้จริง  เขาย่อมจะมองสิ่งรอบตัวแบบตายตัวหรือของแข็งกระด้าง  (นัตถิตาทิฏฐิ)      หรือบุคคลหากค่อนไปทางปฏิเสธเหตุและปัจจัยว่า อดีตชาติไม่มีจริง  ทิ้งสภาพธรรมหรือนามรูปไว้ สรุปตั้งธงล่วงหน้าว่าเป็นความว่าง  โดยมิได้เข้าไปเรียนรู้ศึกษาโดยละเอียดแยบคาย   ย่อมมีแนวโน้มไปทางเห็นทุกอย่างเป็นของที่ว่างเปล่า(ที่ขาดสูญ-อุทเฉททิฏฐิ)    และหากบุคคลนั้นมีความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่มันเที่ยงแท้คือชาติภพ   และปัจจุบันมันก็ยังเป็นเราคนเดิมมาจากอดีตไม่เปลี่ยนแปลง  อนาคตย่อมไปเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อไปเรื่อยๆ  โดยไม่เข้าใจถึงนามรูปที่แปรเปลี่ยนไปทุกๆขณะ   และเขายึดปรากฏการณ์เกิดดับต่างๆในชีวิตความรู้สึกและอารมณ์เป็นของเที่ยงตายตัวเสมอ   จิตใจเขามิเคยสลัดออกมาจากความนึกคิดอารมณ์ของตัวเองได้เลย  เพราะรูปการณ์เหล่านี้มันถูกบัญญัติโดยอัตโนมัติแล้วออกจากจิตที่มีความเห็นไปทาง "สัสสตทิฏฐิ"    กระนั้น มีความรู้คำสอนพระพุทธเจ้าที่เป็นทางสายกลาง วางไว้บนทางแห่งสัมมาทิฏฐิ เพื่อความดับทุกข์  มีอยู่ว่า ชาติอดีต(ขันธ์๕อดีต)ก็ดี นับย้อนไป ไกล หรือใกล้ ก็ดี ล้วนไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปเสมอ  ไม่สามารถยึดจับอะไรในอดีตมาวางไว้ ณ ปัจจุบันตรงนี้ได้เลยและมันไม่อยู่ตลอด  ทั้งร่างกาย ความรู้สึก ความจดจำ ความนึกคิดปรุงแต่ง และอารมณ์การรับรู้ของคนๆนึง     ท่านที่กำลังอ่านข้อความนี้ทุกคนก็รู้สึกถึงมันได้   มันแปรปรวนไปตามองค์ประกอบขันธ์ที่ปรุงแต่งซึ่งกันและกัน  จึงไม่ใช่สิ่งที่ทนอยู่ในสภาพเดิมได้ ผ่านกาลเวลา  และมันไม่ใช่เรา ของๆ เรา(อนัตตา)   ว่างจากตัวเราตัวเรา ของๆเราโดยแท้จริงอยู่เสมอ(สุญญตา)  จึ่งไม่ควรยึดถืออุปาทานในขันธ์๕ชาติอดีตว่าเป็นตัวเราของเรา   และสิ่งที่เป็นไปของขันธ์๕และองค์ประกอบในอดีตนี้นับรวมไปถึง เมื่อนาทีที่แล้ว ชั่วโมงที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้วมา 10ปีที่แล้วมา ...ฯลฯ ของคุณเช่นกัน    แม้ปัจจุบันก็ไม่เที่ยง มันกำลังแปรเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ   จึงไม่พึงยึดมั่นถือมั่นเช่นกัน   มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมีฯ(ตถตา)    - dhammachak Social network -    Photo: Borobudur, Indonesia | บรมพุทโธ ประเทศอินโดนิเซีย    -#

ชาติที่แล้ว การเวียนว่ายตายเกิดแห่งสังสารวัฏ มีจริง คล้ายกับเมื่อวันวาน ที่มีจริง

แต่ ณ ปัจจุบันขณะ สิ่งที่เป็นเมื่อวาน สิ่งต่างๆนั้นไม่มีอยู่แล้ว มีเพียงการสืบเนื่อง สืบต่อของเหตุและปัจจัย

ในทางพุทธธรรม พึงเรียนรู้สิ่งนี้ว่า เป็นสภาพธรรมขณะหนึ่งๆ ยอมรับว่า เมื่อมีเหตุมีปัจจัย เหตุแรงสืบเนื่องต่อไปของสิ่งนั้นๆ ย่อมมี
...และเมื่อใดเหตุและปัจจัยสลายลง สิ่งที่ถูกขับเคลื่อนอยู่โดยเหตุปัจจัยนั้นๆจึ่งย่อมจะดับสลายลง

หากมีบุคคลกล่าวว่า อดีตชาติไม่มี ไม่มีเหตุปัจจัยสืบต่อในสรรพสิ่ง บุญกรรมไม่มีจริง 
นั้นย่อมค่อนไปทางผู้มีมิจฉาทิฏฐิหรือผู้มีความเห็นที่ผิดในหลักพุทธธรรม
เขาอาจเชื่อในสิ่งบังเอิญหรือดลบันดาลว่าเป็นไปได้จริง
เขาย่อมจะมองสิ่งรอบตัวแบบตายตัวหรือของแข็งกระด้าง
(นัตถิตาทิฏฐิ) 

หรือบุคคลหากค่อนไปทางปฏิเสธเหตุและปัจจัยว่า อดีตชาติไม่มีจริง
ทิ้งสภาพธรรมหรือนามรูปไว้ สรุปตั้งธงล่วงหน้าว่าเป็นความว่าง
โดยมิได้เข้าไปเรียนรู้ศึกษาโดยละเอียดแยบคาย 
ย่อมมีแนวโน้มไปทางเห็นทุกอย่างเป็นของที่ว่างเปล่า(ที่ขาดสูญ-อุทเฉททิฏฐิ)

และหากบุคคลนั้นมีความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่มันเที่ยงแท้คือชาติภพ
และปัจจุบันมันก็ยังเป็นเราคนเดิมมาจากอดีตไม่เปลี่ยนแปลง
อนาคตย่อมไปเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อไปเรื่อยๆ
โดยไม่เข้าใจถึงนามรูปที่แปรเปลี่ยนไปทุกๆขณะ 
และเขายึดปรากฏการณ์เกิดดับต่างๆในชีวิตความรู้สึกและอารมณ์เป็นของเที่ยงตายตัวเสมอ
จิตใจเขามิเคยสลัดออกมาจากความนึกคิดอารมณ์ของตัวเองได้เลย
เพราะรูปการณ์เหล่านี้มันถูกบัญญัติโดยอัตโนมัติแล้วออกจากจิตที่มีความเห็นไปทาง "สัสสตทิฏฐิ"

กระนั้น มีความรู้คำสอนพระพุทธเจ้าที่เป็นทางสายกลาง วางไว้บนทางแห่งสัมมาทิฏฐิ เพื่อความดับทุกข์
มีอยู่ว่า ชาติอดีต(ขันธ์๕อดีต)ก็ดี นับย้อนไป ไกล หรือใกล้ ก็ดี ล้วนไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปเสมอ
ไม่สามารถยึดจับอะไรในอดีตมาวางไว้ ณ ปัจจุบันตรงนี้ได้เลยและมันไม่อยู่ตลอด
ทั้งร่างกาย ความรู้สึก ความจดจำ ความนึกคิดปรุงแต่ง และอารมณ์การรับรู้ของคนๆนึง

ท่านที่กำลังอ่านข้อความนี้ทุกคนก็รู้สึกถึงมันได้ 
มันแปรปรวนไปตามองค์ประกอบขันธ์ที่ปรุงแต่งซึ่งกันและกัน
จึงไม่ใช่สิ่งที่ทนอยู่ในสภาพเดิมได้ ผ่านกาลเวลา
และมันไม่ใช่เรา ของๆ เรา(อนัตตา) 
ว่างจากตัวเรา ของๆเราโดยแท้จริงอยู่เสมอ(สุญญตา)
จึ่งไม่ควรยึดถืออุปาทานในขันธ์๕ชาติอดีตว่าเป็นตัวเราของเรา 
และสิ่งที่เป็นไปของขันธ์๕และองค์ประกอบในอดีตนี้นับรวมไปถึง เมื่อนาทีที่แล้ว ชั่วโมงที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้วมา 10ปีที่แล้วมา ...ฯลฯ ของคุณเช่นกัน

แม้ปัจจุบันก็ไม่เที่ยง มันกำลังแปรเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ 
จึงไม่พึงยึดมั่นถือมั่นเช่นกัน 
มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมีฯ(ตถตา)

- dhammachak Social network -

Photo: Borobudur, Indonesia | บรมพุทโธ ประเทศอินโดนิเซีย